วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

พลาดไม่ได้!!! 6 เคล็ดลับ แต่งห้องนอน เล็กให้ใหญ่สไตล์อบอุ่นละมุนใจ


ด้วยสังคมคนเมืองที่แสนจะแออัดในปัจจุบันการเช่าคอนโด หรือซื้อคอนโดก็เริ่มที่จะมีขนาดห้องที่เล็กลงโดยเฉพาะพื้นที่สำคัญอย่างห้องนอนที่อาจจะถูกลดขนาดลงไปไม่น้อย จะดีกว่าไหมหากพื้นที่ภายในห้องนอนที่แสนจะคับแคบของคุณ เปลี่ยนแปลงไปเป็นห้องนอนที่ใหญ่และกว้างมากขึ้น โดยที่คุณไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม หรือเสียเวลาในการหาที่อยู่ใหม่ที่มีห้องนอนใหญ่กว่าเดิม ด้วย 6 เคล็ดลับ แต่งห้องนอน เล็กให้ใหญ่ที่แสนจะอบอุนละมุนหัวใจ ที่เราได้นำมาฝากในวันนี้

1. ใช้สีห้องโทนสว่าง 




สีคือส่วนสำคัญที่ทำให้ภาพรวมของห้องนอนเปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการ หากต้องการให้ห้องนอนดูกว้าง ไม่คับแคบ หรืออึดอัดเวลามอง การเลือกใช้สีโทนสว่างอย่างสีขาว สีครีม หรือสีโทนพาสเทล นอกจากนี้การทาสีผนังให้อ่อนกว่าสีพื้นจะทำให้ห้องดูกว้างโปร่งสบายไม่อึดอัด และทำให้เพดานที่ดูเตี้ยสูงขึ้นอีกด้วย

2. เปิดรับแสงจากธรรมชาติ




หากห้องนอนน้อยๆ ของคุณเต็มไปด้วยหน้าต่าง ก็อย่าลืมเปิดรับแสงจากธรรมชาติบ้าง เพราะแสงจากธรรมชาติจะช่วยให้ห้องนอนดูกว้าง และมีมิติมากขึ้น แต่ถ้าหากว่าคุณไม่สะดวกใจกับการเปิดหน้าต่างโล่งๆ ลองหามู่ลี่สีอ่อนๆ ที่สามารถปรับระดับการมองเห็นและระดับการรับแสงได้มาใช้ดูนะคะ

3. การแบ่งพื้นที่ภายในห้องนอน




หลายๆ คนแม้จะมีห้องนอนที่มีขนาดเล็กแต่ก็ยังต้องการจัดสรรพื้นที่ให้เป็นสัดส่วน แน่นอนว่าวิธีนี้จะยิ่งทำให้พื้นที่ภายในห้องดูคับแคบ เพราะห้องนอนที่มีขนาดเล็กควรเปิดโล่งให้มากที่สุด หากต้องการแบ่งพื้นที่ภายในห้องก็ควรเลือกใช้ฉากกั้นที่มีลักษณะโปร่ง ฉากกั้นที่สามารถพับเก็บได้ หรือใช้พรมที่มีสีสันแตกต่างกันเพื่อแบ่งพื้นที่

4. เพิ่มมิติให้ห้องนอนด้วยกระจก




กระจกเป็นตัวช่วยที่ดีในการเพิ่มมิติในห้องนอน เพราะกระจกจะทำให้เห็นพื้นที่ซ้ำส่งผลให้ห้องดูใหญ่กว่าเดิม หากห้องนอนของคุณไม่สามารถแก้ไขหรือติดกระจกบานใหญ่เพิ่มเข้ามาได้ การกระจกแบบตั้งพื้นบานใหญ่ หรือกระจกบานเล็กมาติดตามผนังก็สามารถช่วยให้ห้องดูกว้างและมีมิติมากขึ้นได้เช่นกัน เสริมอีกนิดว่าการติดตั้งไฟให้ส่องไปทางกระจกก็จะช่วยให้ห้องดูมีมิติขึ้นอีก

5. เฟอร์นิเจอร์อเนกประสงค์ หลากหลายฟังก์ชัน




การเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์อเนกประสงค์ที่มาพร้อมกับฟังก์ชันเพิ่มเติมไม่ว่าจะเป็นการพับเก็บโต๊ะเก้าอี้เมื่อใช้งานเสร็จ การเพิ่มช่องเก็บของไปบนเฟอร์นิเจอร์ การเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานจากโซฟาเป็นเตียงนอน ที่จะทำให้ห้องนอนมีพื้นที่ใช้สอยเพิ่ม หรือประหยัดพื้นที่ได้เมื่อใช้งานเสร็จ

6. สีและลักษณะของเฟอร์นิเจอร์




การเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่เป็นขาตั้งจะช่วยลดความรู้สึกอึดอัด คับแคบลงได้ดีกว่าการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีขนาดใหญ่มีลักษณะหนาทึบ สีของเฟอร์นิเจอร์ก็เป็นสิ่งสำคัญหากเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่มีสีโทนเดียวอย่างการจับคู่เฟอร์นิเจอร์สีเท่าอ่อนกับผนังห้องสีขาวก็จะทำให้บรรยากาศภายในห้องดูสบายตากลมกลืนและดูโปร่งขึ้นอีกด้วย


ถึงแม้คุณจะมีเพียงห้องนอนขนาดเล็ก แต่เคล็ดลับ แต่งห้องนอน ที่เราได้นำมาฝากในวันนี้จะสามารถเนรมิตห้องนอนของคุณให้ดูกว้างใหญ่ และอบอุ่นละมุนใจขึ้นมาได้อย่างแน่นอน

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ข้อมูลจาก Content Marketing Story @Am2b Marketing

วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

เหตุผลที่ Mark Zuckerberg อาจจะต้องหลีกเลี่ยงการไปเยือนสหราชอาณาจักร



Damian Collins ประธานคณะกรรมาธิการสื่อแห่งสหราชอาณาจักร ได้ออกมาเตือน CEO ของ Facebook อย่าง Mark Zuckerberg ว่า หากเขาเดินทางมาถึงประเทศอังกฤษเมื่อไหร่ ก็อาจจะต้องเผชิญหน้ากับการร้องเรียนอย่างเป็นทางการก็เป็นได้

แต่ถึงแม้ว่าจะมีการร้องขอซ้ำอีกครั้ง ตัว Zuckerberg เองกลับไม่ได้ปรากฏตัวต่อหน้าคณะกรรมการที่กำลังสืบสวน ถึงเรื่องการปลอมแปลงข่าวจนกลายมาเป็นประเด็นเรื่องอื้อฉาวจากกรณีของ Cambridge Analytica

“เมื่อ  Zuckerberg ไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของรัฐสภาสหราชอาณาจักร เขาก็สามารถทำแบบเดิมได้อีกในครั้งต่อๆ เมื่อเขาเดินทางเข้ามายังประเทศของเรา แต่เราก็หวังว่าเขาจะปฏิบัติตัวต่อการร้องขอของเราในเชิงบวก ซึ่งหากเขาไม่สามารถปฏิบัติตามได้ ทางคณะกรรมการก็จะเข้าไปแก้ไขปัญหานั้นโดยการสั่งให้เขาปรากฏตัวเมื่ออยู่ในสหราชอาณาจักร "

Collins เขียนไว้ในจดหมายถึง Rebecca Stimson หัวหน้านโยบาย Facebook UK ว่า ในขณะที่ Zuckerberg อยู่ต่อหน้าสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาสหรัฐอเมริกา เขาได้ถูกขอให้ไปปรากฏตัวต่อหน้ารัฐสภายุโรปด้วยเช่นกัน แต่จนถึงปัจจุบันเขาเพียงแค่ส่งเจ้าหน้าที่ไปยังรัฐสภาสหราชอาณาจักรเพื่อประกอบการพิจารณาแทน

Mike Schroepfer เจ้าหน้าที่ด้านเทคโนโลยีของบริษัท Facebook ได้ให้ปากคำแบบตัวต่อตัวกับคณะกรรมาธิการสหราชอาณาจักรในเดือนก่อน แต่ Collins กลับกล่าวในจดหมายของเขาว่า “ผู้บริหารไม่ได้ให้รายละเอียดที่สำคัญ”

"Facebook กำลังเผชิญกับปัญหา existential crisis"


ทั้งนี้จดหมายจาก Collins ได้ถาม Zuckerberg ว่า ก่อนการปรากฏตัวต่อหน้าคณะกรรมการในวันที่ 24 พฤษภาคมนี้ เขาได้ถาม Facebook (FB) เพื่อยืนยันว่าจะเข้าร่วมการประชุมของ CEO ในวันที่ 11 พฤษภาคมหรือไม่ แต่ทาง Facebook เองก็ได้ออกมาปฏิเสธการแสดงความคิดเห็นต่อจดหมายของ Collins ในกรณีนี้

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ข้อมูลจาก www.money.cnn.com 

วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2561

“ซัมซุง แอลอีดี ซีนีม่า” นวัตกรรมใหม่แห่งการชมภาพยนต์


Samsung ร่วมกับ Major Cineplex เปิดตัวนวัตกรรมความบันเทิงใหม่ล่าสุด “ซัมซุง แอลอีดี ซีนีม่า” (Samsung LED Cinema) โรงภาพยนตร์แห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ดูคล้ายกับโรงภาพยนตร์แห่งโลกอนาคตยังไงยังงั้น โดย Samsung LED Cinema สามารถแสดงภาพได้ด้วยคุณสมบัติที่เหนือกว่า ที่มาพร้อมกับความละเอียด 4K ซึ่งให้ความคมชัดมากกว่าการฉายภาพยนตร์ในรูปแบบปกติ และมีฟีเจอร์ High Dynamic Range (HDR) ที่จะช่วยปรับสมดุลความมืดและความสว่างของภาพเพื่อให้ได้ภาพที่คมชัด สีสันสมจริง จนทำให้โรงภาพยนตร์แบบ LED นี้ เป็นมากกว่าโรงภาพยนตร์ทั่วไป อีกทั้งยังสามารถใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมต่างๆ ได้อีกด้วย


สำหรับการเปิดตัว Samsung LED Cinema ในครั้งนี้ นายบุญเลิศ วิบูลย์เกียรติ รองประธานธุรกิจลูกค้าองค์กร บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด ได้กล่าวว่า “ซัมซุง และเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ เป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่ดีต่อกันมานาน และในครั้งนี้นับเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญที่จะสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการภาพยนตร์ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยโดยการนำจอภาพ Samsung Cinema LED Screen เทคโนโลยีจอภาพแบบแอลอีดีครั้งแรกของโลกมาใช้ในโรงภาพยนตร์ SAMSUNG LED CINEMA พารากอน ซีนีเพล็กซ์ แห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


ซึ่งโรงภาพยนตร์แห่งนี้จะให้ประสบการณ์ในการรับชมภาพยนตร์ในมิติใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน ด้วยนวัตกรรมของจอภาพ LED ที่จะมาแทนระบบฉายภาพยนตร์ด้วยโปรเจกเตอร์ ซึ่งจะแสดงผลของภาพในระดับ High Dynamic Range (HDR) สามารถปรับสมดุลความมืดความสว่างของภาพ เพื่อให้ได้ภาพที่ดีที่สุด พร้อมความละเอียดหน้าจอที่ระดับ 4K ซึ่งจะทำให้ได้ภาพที่คมชัด สีสันเต็มอิ่มสมจริง เห็นรายละเอียดทั้งในส่วนที่มืดและสว่างอย่างชัดเจน อีกทั้งยังให้ความสว่างของภาพสม่ำเสมอ จึงอยากเชิญชวนให้ทุกท่านได้มาชมกับตาตัวเองที่โรงภาพยนตร์ SAMSUNG LED CINEMA เชื่อว่าเมื่อทุกท่านได้ชมแล้วจะได้รับอรรถรสเต็มเปี่ยมจากการชมภาพยนตร์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนแน่นอนครับ”


นอกจากนั้น นายนิธิ พัฒนภักดี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจสื่อโฆษณา บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) ยังเปิดเผยอีกว่า “หลังจากที่เราได้แถลงข่าวความร่วมมือระหว่าง เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป และ ซัมซุง ในการเปิดโรงภาพยนตร์ SAMSUNG LED CINEMA เป็นที่เรียบร้อยแล้ว วันนี้ทุกท่านก็จะได้สัมผัสกับประสบการณ์ความพิเศษจากเทคโนโลยีจอภาพใหม่ล่าสุดของโลกอย่างเป็นทางการ ผ่านโรงภาพยนตร์ SAMSUNG LED CINEMA พารากอน ซีนีเพล็กซ์ ซึ่งเป็นแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ให้การรับชมภาพยนตร์ของท่านผ่านจอภาพที่มีความละเอียดคมชัดในทุกมุมมอง มีสีสันที่เต็มอิ่มสมจริง ให้ผู้ชมรู้สึกเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ในภาพยนตร์


อีกทั้งยังให้ความสว่างของภาพสม่ำเสมอ สามารถมองเห็นรายละเอียดต่างๆในภาพได้อย่างครบถ้วน ที่มาพร้อมกับระบบเสียงรอบทิศทาง นอกจากนี้ยังมีระบบแสงสว่างจากจอภาพที่มากกว่าหน้าจอปกติถึง 10 เท่า ทำให้เห็นรายละเอียดได้มากกว่าทั้งในส่วนที่มืดสุด และสว่างสุด ซึ่งสามารถนำไปใช้จัดกิจกรรมต่างๆ ได้มากมาย ไม่ใช่เฉพาะการฉายภาพยนตร์เท่านั้น”

มาร่วมสัมผัสประสบการใหม่แห่งการชมภาพยนต์กับจอ Samsung Cinema LED Screen ได้แล้ววันนี้ที่โรงภาพยนตร์ SAMSUNG LED CINEMA ชั้น 6 พารากอน ซีนีเพล็กซ์ 

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ข้อมูลจาก Jee PR 1982

วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2561

โฆษณาใหม่ของ Facebook ต้องการให้คุณลืมเกี่ยวกับเรื่องการล้มล้างประชาธิปไตยทั้งหมด!



จริงๆ เราเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนหน้านั้นแล้วแต่ครั้งนี้รู้สึกว่า Facebook นั้นเปลี่ยนไปแล้ว

คุณคงรู้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ Facebook ทำข้อมูลของผู้ใช้งานรั่วไหล ซึ่งทำให้บุคคลที่สามสามารถเข้ามาดูข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานได้ และอนุญาตให้มีการโทรล์ของรัสเซีย เพื่อก่อให้เกิดความรุนแรงตามการแข่งขันบนแพลตฟอร์ม แต่รู้ไหมว่านั่นไม่ใช่ Facebook จริงๆ ไม่เชื่อเหรอ! ถ้าไม่เชื่อลองดูโฆษณาที่ Facebook ที่เพิ่งเปิดตัวใหม่สิ

"ในเนื้อหาโฆษณานั้นได้กล่าวไว้ว่า"


เรามาที่นี่เพื่อต้องการเพื่อน แต่แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเราต้องรับมือกับสแปม, clickbait, ข่าวปลอมและการใช้ข้อมูลผิด ๆ จึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

Facebook บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า คอยดูมันจะเปลี่ยนไปทุกอย่างจะดีขึ้นและ Mark Zuckerberg ยังคอยบอกเสมอว่าเป็นเช่นนั้น

นั่นก็เพราะว่า ที่แห่งนี้มันไม่มีสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นสำหรับการปิดการโฆษณา แล้วจะทำให้เราได้ใกล้ชิดกันเพียงเล็กน้อย


"ตอนนี้เรารู้แล้วว่าคุณคิดอย่างไร"


Facebook ไม่ได้รับการสร้างขึ้นเพื่อให้มีความสัมพันธ์กับแฟลตฟอร์ม Facemash ของ Mark Zuckerberg ที่เขาสร้างขึ้นในหอพักตอนที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

ทีนี้ Facebook ที่เรารู้จักในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้ใช้ให้เยอะที่สุดและใช้ประโยชน์จากข้อมูลดังกล่าวเพื่อยกระดับและสร้างความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำทางด้านการโฆษณา ซึ่งก่อนหน้านั้นเราก็เคยเห็นโฆษณาทางทีวีเรื่องแรกของ Facebook ที่เป็นเหมือนเก้าอี้


แต่มีสิ่งหนึ่งที่โฆษณาใหม่ตัวนี้ของ Facebook ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าแพลตฟอร์มนี้ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการโค่นล้มของระบอบประชาธิปไตย แต่เป็นเพียงแค่เพื่อนที่ดีเท่านั้นเอง

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ข้อมูลจาก www.mashable.com

15 แอพพลิเคชั่นแก้ไขวิดีโอที่ยอดเยี่ยมในปี 2018


หากคุณกำลังอ่านโพสต์บนบล็อกนี้อยู่ คุณก็คงจะรู้แล้วว่าการทำตลาดควรมีเนื้อหารูปแบบวิดีโอไว้อยู่บ้าง แต่หากจะให้สร้างวิดีโอขึ้นมาเองนั้น ก็ถือได้ว่ามีหลายขั้นหลายตอนไม่ว่าจะเป็นการหาค่าตอบแทนจากการลงทุน เตรียมอุปกรณ์อย่างกล้อง เครื่องมือที่ใช้ในการตัดต่อแก้ไขวิดีโอ

ซึ่งนี่ก็เป็น 15 โซลูชันที่จะช่วยให้คุณสร้างวิดีโอได้ง่ายและสามารถนำไปโพสต์ได้ทั้งบน Instagram, YouTube หรือช่องทางอื่นๆ ที่รองรับรูปแบบของวิดีโอ มาดูกันเลยว่าแอพพลิเคชั่นเหล่านี้ทำงานอย่างไรบ้าง

แอพพลิเคชั่นแก้ไขวิดีโอที่เหมาะสำหรับการใช้งานบน Instagram


แอพพลิเคชั่นต่อไปนี้จะช่วยให้คุณสามารถทำการแก้ไขและอัพโหลดวิดีโอที่เสร็จสมบูรณ์แล้วของคุณไปสู่ Instagram ได้ในเวลาอันรวดเร็ว หรือจะเรียกว่าเป็นแอพพลิเคชั่นที่สนับสนุนเครือข่ายสังคม Instagram เลยก็ว่าได้

1. Magisto


ฟรี | iOS , Android


แหล่งที่มา: Google Play

รูปแบบของตัวแก้วิดีโอ Magisto จะช่วยให้คุณสร้างวิดีโอที่น่าทึ่งออกมาจากโทรศัพท์มือถือของคุณภายใน 3 ขั้นตอนง่ายๆ โดยจะเริ่มต้นที่การเลือกสไตล์การตัดต่อวิดีโอตามประเภทเรื่องราวที่คุณจะถ่ายทอดออกมาภายในวิดีโอของคุณ จากนั้นคุณก็สามารถทำการเลือกรูปภาพหรือคลิปวิดีโอที่คุณต้องการ และทำการเลือกดนตรีประกอบในขั้นตอนสุดท้าย

การใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์อย่าง AI เข้ามาช่วยทำให้แอพพลิเคชั่นของ Magisto มีรูปแบบการใช้งานที่ง่ายสามารถจัดการระเบียบต่างๆ และตอบสนองความต้องการของคุณได้ดีที่สุด แล้วทำไมคุณไม่ลองเข้าไปใช้งานเวอร์ชั่นฟรี หากถูกใจก็อัพเกรดเป็น Premium หรือ Professional เสียค่าบริการเพียงเล็กน้อยเพื่อแลกกับการใช้งานที่ดียิ่งขึ้น

2. Hyperlapse


ฟรี | iOS only


แอพพลิเคชั่นที่ถูกสร้างขึ้นมาจาก Instagram ที่จะทำให้วิดีโอสั้นลง เพื่อให้เหมาะกับการนำไปอัพโหลดลงบน Instagram หรือ Facebook คุณสามารถทำการเลือกหรือปรับความเร็วของวิดีโอได้เล็กน้อย โดยตัววิดีโอจะบอกคุณเองว่ามีระยะเวลานานเท่าใดเมื่อเปรียบเทียบกับวิดีโอความยาวปกติ อย่างเช่นวิดีโอปกติของคุณมีความยาว 40 วินาทีก็จะกลายเป็นวิดีโอที่มีความยาว 7 วินาที ที่เพิ่มความเร็วขึ้นมาถึง 6 เท่าจากปกติ

3. Wondershare FilmoraGo


ฟรี | iOS , Android


แหล่งที่มา: Google Play

Wondershare FilmoraGo ที่ก่อนหน้านี้ถูกเรียกว่า Wondershare Video Editor เป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบ หากคุณต้องการเริ่มต้นการตัดต่อวิดีโอในขั้นพื้นฐาน แอพพลิเคชั่นนี้เหมาะสำหรับการทำวิดีโอสำหรับ Instagram แต่ก็ยังสามารถใช้เพื่อสร้างวิดีโอสำหรับแพลตฟอร์มอื่นๆ ได้เช่นกัน

Filmora มีเปิดบริการสำหรับคอมพิวเตอร์ที่ใช้ Windows และ Mac ขณะที่ FilmoraGo Mobile ของบริษัท สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีสำหรับใช้บนอุปกรณ์ iOS และ Android จุดเด่นของ Filmora อีกหนึ่งอย่างคือ "Easy Mode" ที่ทำให้คุณสามารถลากและวางคลิปวิดีโอเพิ่มเพลงเพื่อสร้างวิดีโอให้เสร็จสมบูรณ์ภายในเวลาไม่กี่นาที แต่เวอร์ชั่นฟรีจะมีการเพิ่มลายน้ำเข้าไปในวิดีโอ ซึ่งสามารถนำออกได้โดยการอัพเกรดซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายสักเล็กน้อย

4. InShot


ฟรี | iOS | Android



ในบางครั้งคุณก็แค่เพียงอยากตัดต่อวิดีโอแต่ไม่ต้องการตัดภาพหรือเพิ่มเอฟเฟ็กอะไรเข้าไป การตัดต่อด้วย InShot  ที่สามารถเพิ่มความเร็วของวิดีโอ เพิ่มเพลง ใส่ฟิลเตอร์ และเพิ่มพื้นหลังให้กับวิดีโอที่ทำให้รู้สึกว่าภาพในวิดีโอซ้อนทับกันเหมือนภาพประกอบ และในวิดีโอตัวอย่างก็ยังได้ใช้ฟิลเตอร์ "warm filter" พร้อมใส่เพลงประกอบ

แอพที่ใช้ในการแก้ไขวิดีโอฟรี


เครื่องมือต่อไปนี้ที่กำลังจะกล่าวถึงเป็นแอพพลิเคชั่นบนมือถือที่ใช้งานได้หลากหลายที่สุดที่เปิดให้บริการฟรี

5. WeVideo


ฟรี | iOS, Android


แหล่งที่มา: Google Play

ซอฟต์แวร์ตัดต่อวิดีโอบนระบบคลาวด์อย่างเช่นซอฟต์แวร์ที่คุณเข้าถึงผ่านเบราว์เซอร์แทนที่จะดาวน์โหลดลงในฮาร์ดดิสก์ของคุณโดยตรงนั้น กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และหนึ่งในนั้นคือ WeVideo

WeVideo ถือว่าเป็นเครื่องมือขั้นสูงที่มีฟังก์ชันการทำงานรวมถึงความสามารถในการแก้ไขเสียงที่ได้รับอนุญาตในเชิงพาณิชย์และความสามารถในการแชร์วิดีโอในความละเอียด 4K อย่างไรก็ตามเวอร์ชันฟรีของ WeVideo ไม่มีข้อจำกัดซึ่งแตกต่างจากแอพพลิเคชั่นตัวอื่นๆ พอสมควร ข้อเสียเพียงอย่างเดียวของแอพพลิเคชั่นนี้คือที่จัดเก็บข้อมูลที่มีเพียงแค่ 10 GB เท่านั้น WeVideo จึงเหมาะกับการใช้งานเพียงแค่ครั้งเดียว

6. Splice


ฟรี | iOS only



ดูเหมือนว่าผู้ผลิต GoPro จะปล่อยแอปพลิเคชันที่ช่วยให้คุณสามารถแสดงคลิปวิดีโอในโทรศัพท์มือถือของตัวเอง เพื่อนำไปตัดต่อหรือนำวิดีโอต่างๆ มารวมกัน และในตอนนี้ Splice ยังมีไลบรารีเพลงที่สามารถใช้ประกอบกับวิดีโอ ตัดแก้ไขส่วนต่างๆ ภายในวิดีโอ ปรับแต่งความยาวของการเปลี่ยนฉาก

7. Adobe Premiere Clip


ฟรี | iOS, Android

แหล่งที่มา: Google Play

Melissa Stoneburner จาก Examiner.com เรียก App "Gateway" นี้เข้าสู่ Adobe Premiere Pro สำหรับเดสก์ท็อปและเราจะเห็นตัวเองคล้ายกับ Magisto Adobe Clip จะตั้งค่าวิดีโอของคุณให้เป็นเพลงที่คุณเลือกโดยอัตโนมัติและมีตัวแก้ไขรูปแบบอิสระที่ช่วยให้คุณสามารถปรับแต่งแก้ไขได้ การซิงค์เริ่มต้น

คุณลักษณะการแก้ไขวิดีโอที่มีประสิทธิภาพอย่างเท่าเทียมกันของ Premiere ช่วยให้คุณสามารถตัดลากและวางคลิปวิดีโอและรูปภาพได้หลายรูปแบบจากอัลบั้มรูปภาพและวิดีโอบนโทรศัพท์มือถือของคุณตามลำดับที่คุณต้องการ จากนั้นเพิ่มแสงที่เหมาะสมปรับความเร็ววิดีโอและแบ่งปันผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายของคุณโดยตรงบน Facebook, Twitter หรือ YouTube

8. PicPlayPost


ฟรี | iOS, Android


PicPlayPost เป็นแอปพลิเคชันตัดปะวิดีโอง่ายๆที่ช่วยให้คุณสามารถปรับแต่งวิดีโอได้อย่างตรงจุด แต่ในการใช้งานหากคุณได้นำวิดีโอหลายๆ ตัวมารวมกันเสียงจากทั้งสองวิดีโอที่เล่นพร้อมกันดังนั้นอย่าลืมว่าเสียงจะปะทะกันด้วย

ในปัจจุบันมีแอพพลิเคชั่นที่จับวิดีโอมารวมกันมากมายแต่เพื่อนร่วมงานของฉัน Lindsay Kolowich ที่ชื่นชอบการออกกำลังกายแบบมืออาชีพ ได้โพสต์วิดีโอออกกำลังกายแบบตัดปะลงใน Instagram ของเธอ ซึ่งในด้านหนึ่งเธอกำลังออกกำลังกาย และอีกด้านก็เป็นเธอที่กำลังพูดอธิบายเกี่ยวกับการออกกำลังกาย

ซอฟต์แวร์ตัดต่อวิดีโอที่ดีที่สุดสำหรับ YouTube


แม้ว่าแอพพลิเคชั่นหรือโปรแกรมตัดต่อวิดีโอที่จะพูดถึงต่อไปนี้จะไม่สามารถใช้งานบนมือถือได้ แต่ก็ยังมีฟังก์ชันในการใช้งานที่ง่ายต่อการเรียนรู้โดยมีค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อย และเหมาะสมที่จะดาวน์โหลดไว้ใช้ในคอมพิวเตอร์ของคุณ เพื่อการแก้ไขเนื้อหาวิดีโอไว้ใช้ในช่อง YouTube ของคุณ

9. Blender


ฟรี | Windows, Mac, Linux


แหล่งที่มา: Blender

Blender OpenSoftware เป็นมากกว่าโปรแกรมที่ใช้ในการตัดต่อวิดีโอ เพราะสามารถสร้างชุดภาพเคลื่อนไหวในรูปแบบ 3 มิติ ที่สามารถจำลองการแสดงผลการติดตามการเคลื่อนไหวและอื่นๆ ได้ เครื่องมือในการแก้ไขวิดีโอมีคุณลักษณะมากมายรวมถึงการควบคุมความเร็ว ตัวกรอง การปรับแต่งเลเยอร์ การเพิ่มเอฟเฟ็กต์เสียง และอื่นๆ

หากคุณเป็นแค่เพียงมือสมัครในการตัดต่อวิดีโอ โปรแกรมนี้ถือได้ว่ามีลูกเล่นและฟังก์ชันในการทำงานอย่างล้นหลาม แต่ถ้าหากว่าคุณกำลังมองหาโปรแกรมผลิตวิดีโออย่างมืออาชีพที่ไม่มีข้อจำกัดด้านลายน้ำ Blender เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะคุณจะมีอิสระในการใช้เครื่องมือต่างๆ ตามความต้องการ โดย Blender สามารถใช้เพื่อการศึกษาหรือการค้าก็ได้

10. Lightworks


ฟรี | Windows, Mac, Linux


แหล่งที่มา: ZDNet

เช่นเดียวกับ Blender Lightworks เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีในการตัดต่อวิดีโอบนเครื่องคอมพิวเตอร์ และโปรแกรมนี้ก็เป็นโปรแกรมที่ถูกใช้ในการตัดต่อภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลมาไม่น้อยอย่าง Pulp Fiction, The Wolf of Wall Street และ The King's Speech

ด้านการใช้งานก็มีสองรูปแบบโดยคุณสามารถทำการเลือกได้ว่าจะใช้งานแบบ ฟรี หรือ โปร หากเลือกแบบโปรก็จะได้รับคุณลักษณะเพิ่มเติม สามารถแสดงผลแบบสเตอริโอ และเงื่อนไขในการแชร์ผลงานขั้นสูง แต่หากเลือกใช้งานฟรีประสิทธิภาพในการใช้งานก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปมากนัก

11. Shotcut


ฟรี | Windows, Mac, Linux


แหล่งที่มา: Shotcut

Shotcut เป็นอีกหนึ่งซอฟต์แวร์วิดีโอรูปแบบโอเพ่นซอร์สที่เปิดให้บริการฟรี ด้านการใช้งาน Shotcut สามารถสร้างวิดีโอที่ดูเป็นมืออาชีพ โดยไม่จำเป็นต้องใช้อินเทอร์เฟซซึ่งเป็นไปได้ว่าแต่เดิมได้มีการพัฒนาขึ้นสำหรับแพลตฟอร์ม Linux ซึ่งมีลักษณะและความรู้สึกแตกต่างจาก Windows หรือ Mac UX ทั่วไป หากคุณใช้งาน Shotcut คุณก็จะสามารถตัดต่อหรือสร้างวิดีโอพร้อมส่งออกวิดีโอที่มีคุณภาพสูงได้ฟรี

12. VSDC Free Video Editor


ฟรี | Windows Only


แหล่งที่มา: Softonic

VSDC Free Video Editor ถือเป็นเครื่องมือที่สามารถผลิตวิดีโอระดับมืออาชีพได้อย่างแน่นอน เพราะโปรแกรมนั้นได้สนับสนุนการตัดแต่งวิดีโอเกือบทุกรูปแบบ พร้อมการใส่เอฟเฟ็กต์เสียงขั้นสูงอย่างการปรับระดับ มาตรฐานเสียงและเสียงและแตกต่างจาก WeVideo, VSDC Free Video Editor ซึ่งถือได้ว่าเป็นบริการฟรีที่ฟรีจริงๆ เพราะไม่มีลายน้ำมากวนใจเหมือนโปรแกรมหรือแอพพลิเคชั่นส่วนใหญ่ แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายอยู่นิดหน่อยหากคุณต้องการความช่วยเหลือด้านเทคนิคคุณต้องจ่ายเงินสำหรับความช่วยเหลือในส่วนนี้

13. Machete Video Editor Lite


ฟรี | Windows Only

แหล่งที่มา: Softonic

Machete Video Editor Lite เป็นโปรแกรมตัดต่อวิดีโอฟรี ที่ให้คุณสามารถตัดคัดลอกและวางส่วนต่างๆ ของวิดีโอได้ ในฐานะที่เป็นเว็บไซต์ของ Machete ทำให้ Video Editor Lite "ถูกออกแบบมาสำหรับการตัดไฟล์วิดีโออย่างรวดเร็วและง่ายดาย" มีอินเตอร์เฟซที่ใช้งานง่าย ซึ่งก็หมายความว่าคุณจะไม่ต้องเสียเวลาสับผ่านเอกสาร และเนื่องจาก Video Editor Lite ไม่เข้ารหัสไฟล์วิดีโอ คุณจึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการสูญเสียคุณภาพของวิดีโอ

ข้อเสียหลักๆ ของโปรแกรมนี้คือรองรับเฉพาะรูปแบบวิดีโอ AVI และ WMV และไม่อนุญาตให้แก้ไขเสียง แต่ถ้าหากคุณมีประสบการณ์ในการแก้ไขวิดีโอเป็นศูนย์ และต้องการแก้ไขวิดีโอเพียงอย่างเดียวนี่ก็เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม

14. Avidemux


ฟรี | Windows, Mac, Linux


แหล่งที่มา: Softonic

เช่นเดียวกับ Machete Video Editor Lite, Avidemux จะช่วยให้คุณแก้ไขวิดีโอขั้นพื้นฐานได้เป็นอย่างดี (โปรแกรมไม่สามารถตัดต่อเสียงได้) โดยไม่ต้องกังวลกับการสูญเสียคุณภาพของวิดีโอ สำหรับผู้เริ่มต้นโปรแกรมจะสนับสนุนรูปแบบวิดีโอหลายรูปแบบเช่น AVI, DVD, MPEG, QuickTime และ MP4 ยิ่งไปกว่านั้น Avidemux ยังมาพร้อมกับตัวกรองหลายตัวที่ช่วยให้คุณสามารถทำหน้าที่ต่างๆได้จากคลิปพลิกและหมุนเพื่อเพิ่มคำบรรยาย ปรับสีและระดับความสว่างได้อีกด้วย

ตัว Avidemux ถือได้ว่าเป็นโปรแกรมที่ใช้งานได้ง่ายเมื่อเทียบกับ Machete Video Editor Lite ซึ่งมีข้อดีคือมี Avidemux Wiki ที่จะบอกถึงทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องรู้

15. HitFilm


$99 | Windows, Mac


แหล่งที่มา: HitFilm

HitFilm Express เป็นซอฟต์แวร์แก้ไขรูปภาพและวิดีโอฟรี ซึ่งคุณสามารถเพิ่มผลงานได้มากกว่า 180 รายการลงในวิดีโอของคุณรวมถึงการแก้ไข 3D คุณลักษณะ HitFilm ที่ดีที่สุดคือจำนวนของวิดีโอการสอนที่มีอยู่มากมาย ที่ผู้ใช้สามารถเรียนรู้และฝึกเทคนิคพิเศษใน Star Wars, Westworld และอื่นๆ ได้

ในส่วนของการอัพเกรดเป็น HitFilm Pro จะช่วยปรับปรุงภาพให้ดียิ่งขึ้น ให้มีความละเอียดมากขึ้นการแสดงผล 3 มิติและการซิงค์เสียงกับเสียงได้ดียิ่งขึ้น แต่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายถึง 300 เหรียญ แต่ถ้าหากคุณไม่พร้อมจะเสียค่าใช้จ่ายสูงๆ HitFilm Express จะช่วยลดค่าใช้จ่ายลงมาได้ หากต้องการดูรายการความแตกต่างระหว่าง HitFilm กับ Pro ให้ไปที่หน้า "Compare Editions"

เนื้อหาวิดีโอออนไลน์ไม่ได้มีลักษณะเหมือนกัน แต่ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องโชคดีที่คุณยังมีเครื่องมือตัดต่อวิดีโอทั้ง 15 อันที่จะเข้ามาช่วยคุณ แค่เพียงคุณทำการดาวน์โหลดคุณก็สามารถสร้างวิดีโอในรูปแบบที่คุณต้องการได้แล้ว


------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ข้อมูลจาก www.blog.hubspot.com







วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2561

นานาทัศนะ “Avengers: Infinity War” จากนักวิจารณ์หนังชื่อดัง


Avengers: Infinity War หนังรวมซูเปอร์ฮีโร่จากจักรวาลมาเวล ที่ใช้เวลาในการสร้างนับตั้งแต่ภาคแรกจวบจนถึงปัจจุบันมาหลายสิบปี ซึ่งจะเห็นได้ว่าภายในภาพยนตร์เรื่องนี้เต็มไปด้วยดาวเด่นและวีรบุรุษที่แท้จริงจำนวนมาก เอาล่ะ. เรามาฟังเสียงของนักวิจารณ์หนังชื่อดังที่ให้ทัศนคติเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้กันดีกว่าว่าพวกเขามีความคิดเห็นอย่างไรบ้างกับ Avengers: Infinity War

Angie Han นักวิจารณ์หนังจากเว็บไซต์ Mashable


“โครงสร้างที่ดีของ Infinity War ทำให้รู้สึกเหมือนน้อยกว่าผลรวมของชิ้นส่วนที่เต็มไปด้วยสิ่งต่างๆ เช่นมีตัวละครหลักสองโหล กระโดดไปมาทั่วโลก แต่มันยากที่จะบอกในตอนนี้ว่ารายได้ และเสียงวิจารณ์จะจบลง ณ จุดไหน”

แน่นอนว่า Avengers: Infinity War จะกลายเป็นอีก 1 เรื่อง Talk Of The Town ในตอนนี้ และนี่คือสิ่งที่เรารวบรวมจากนักวิจารณ์ทั้งหลายต่อหนังเรื่องนี้


"เขาคือตัวร้ายที่แย่ที่สุด"


Angie Han จากเว็บไซต์ Mashable


ในช่วงเวลานั้น Thanos เป็นข้ออ้างที่ดีในการรวบรวมเหล่า Avengers หรือแยกพวกเขาออกจากกันอีกครั้ง และถึงแม้ว่าตัวละคร Thanos จะได้บอกใบ้บางสิ่งบางอย่างที่จะทำให้ Infinity War เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์ของความเลวร้ายที่ส่งผลอันใหญ่หลวง แต่สุดท้ายมันกลับไม่ค่อยมีภาพเต็มๆ ให้เห็นสักเท่าไหร่ อย่างน้อยมันก็ยังไม่ได้อยู่ในภาคนี้

Kaila Hail-Stern จากเว็บไซต์ The Mary Sue


ฉันไม่ทราบว่า Thanos เป็นตัวร้ายที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของจักรวาลมาร์เวลหรือเปล่า แต่ฉันคิดว่าคิลมองเกอร์และโลกิก็ยังคงได้รับการกระจายความร้ายกาจเหล่านั้นมาบ้าง ซึ่ง Thanos ถือเป็นตัวร้ายที่เหมาะสมที่สุดเมื่อเทียบกับตัวร้ายอื่นๆ ของ Marvel แม้ว่าอดีตเบื้องหลังของเขาจะมาจากคุณพ่อที่แสนเศร้า ไปจนถึงจอมฆ่าโรคจิต แต่บทบาทของเขาก็น่าสนใจมากพอที่จะชักชวน Josh Brolin มาทำในสิ่งที่เขาต้องการให้ทำได้ อย่างไรก็ตาม พวกเขาได้สร้างตัวละครที่น่าจดจำเป็นอย่างมาก

Todd McCarthy นักข่าวสายฮอลลีวูด


Thanos มักจะเอาแต่คิดถึงเรื่องความทะเยอทะยานของเขาอยู่เสมอ เช่นเดียวกับความทุกข์ทรมานภายในใจที่อยากจะไปให้ถึงเป้าหมาย เขาเป็นคนไร้ความปรานี แต่ตระหนักดีถึงราคาที่เขาต้องจ่าย ซึ่งทำให้เขายิ่งดูเลวร้ายลงไปอีก ตัวละคร Thanos มีลักษณะราวกับว่าถูกแกะสลักออกมาจากต้นไม้ขนาดใหญ่ แต่ตัวละครตัวนี้กลับเต็มไปด้วยมิติทางอารมณ์ที่หลากหลาย


"มหากาพย์ คือคำเดียวสำหรับเรื่องนี้"


Kaila Hail-Stern จากเว็บไซต์ The Mary Sue


Infinity War คือสงครามที่ทำให้ผมไม่รู้สึกเบื่อ ภาพยนตร์เรื่องนี้ดำเนินไปด้วยความรวดเร็ว ทำให้รู้สึกว่าการดูหนังในเวลาสองชั่วโมงครึ่งช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วจนแทบไม่รู้สึกตัว โดยเรื่องราวของมันก็จะสลับไปมาจากสถานที่หลายๆ แห่ง อย่างเช่น New York ,Edinburgh ,Wakanda และอีกหลายๆ พื้นที่ ซึ่งในไตเติ้ลมันบอกให้เรารู้ว่ากำลังอยู่ที่ไหน เพราะมันอาจเป็นเรื่องยากที่จะติดตาม และผมคิดว่านี่เป็นหนังมหัศจรรย์ในระดับมหากาพย์ ซึ่งพี่น้อง Russo เองก็คงไม่ต้องการให้คุณลืมหนังเรื่องนี้ รวมถึงหนังเรื่องอื่นๆ อีกหลายๆ เรื่อง

Todd McCarthy นักข่าวสายฮอลลีวูด


ฉากแต่ละฉากในเรื่องนั้นทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจ เพราะบางฉากก็เหมือนอยู่ในอวกาศหรือในดินแดนที่แตกต่างบนดาวเคราะห์สักดวง ในขณะที่ฉากอื่นๆ กลับเกิดขึ้นภายในนิวยอร์กและสถานที่อื่นๆ และเมื่อความขัดแย้งระหว่างสิ่งที่อยู่ในอวกาศเริ่มต้นขึ้นในวากานด้า บ้านเกิดของ Black Panther ที่ตั้งอยู่ในทวีปแอฟริกา มันจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของสงคราม เมื่อไม่กี่เดือนก่อน แต่ตอนนี้เรากำลังอยู่ในการต่อสู้อันยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง


"ความรู้สึกเหมือนจริง"


Angie Han จากเว็บไซต์ Mashable


มันเต็มไปด้วยเรื่องราวที่มากมาย จนทำให้นักวิจารณ์บางส่วนแทบอยากจะปรบมือให้กับบทหนัง หลายฉากทำให้เราหัวเราะอย่างสนุกสนาน (แน่นอนพวกเขาแทบทุกคนในจักรวาลมาร์เวลทำได้ดีในบทนี้) รวมถึงช่วงเวลาหวานอมขมกลืน

Kaila Hail-Stern จากเว็บไซต์ The Mary Sue


ก่อนหน้านี้ประมาณ 1 ปี ฉันได้เขียนบทวิจารณ์เกี่ยวกับ Infinity War ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาที่ดีมากเลยทีเดียว แต่ฉันไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในนั้น มันจึงทำให้ฉันเอาแต่จดจ้องกับหนัง และต้องอ้าปากค้างสำหรับสิบนาทีสุดท้าย ด้วยความประหลาดใจกับสถานที่ที่ Marvel ได้ใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้

Todd McCarthy นักข่าวสายฮอลลีวูด


ไม่มีแฟน Marvel เดินออกไปไหนเลย นับตั้งแต่เริ่มฉากไคล์แมกซ์กระทั่งรายชื่ออันยาวเหยียดในหน้าเครดิตสุดท้ายจบลง เพื่อรอดูฉากหยอกล้อสุดท้ายอันเป็นสไตล์ดั้งเดิมของมาร์เวล ซึ่งเป็นการบอกใบ้เรื่องราวในตอนต่อไป ที่ทำให้คนดูทุกคนต่างก็ตั้งคำถามว่ามันคืออะไร แต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบ


"เฮ้ ทุกคนรวมเป็นหนึ่งเดียว!"


Angie Han จากเว็บไซต์ Mashable


จำนวนองค์ประกอบใน Infinity War ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกตกใจมากสักเท่าไหร่ เพราะมันเหมือนกับจิ๊กซอว์โลจิสติกส์มากกว่าการเล่าเรื่องแบบไม่มีอะไรมาเจือปน ซึ่งคุณอาจรู้สึกว่าทีมผู้สร้างคงจะรู้สึกเครียด ในการหาเหตุผลเพื่อส่งตัวละครตัวหนึ่งไปยังดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง เพื่อที่จะทำให้พวกเขาได้พบกับตัวละครอื่นๆ จากนั้นจึงช่วยกันวางแผนแก้ไขปัญหาในสถานที่อันห่างไกล พร้อมด้วยตัวละครอื่นๆ

Todd McCarthy นักข่าวสายฮอลลีวูด


การรวมตัวของจักรวาลซูเปอร์ฮีโร่สุดมหัศจรรย์เรื่องนี้ เริ่มต้นด้วยความตลกและเสียงหัวเราะเสียสามส่วน อีกสองส่วนคือเรื่องราวดราม่า และอีกหนึ่งส่วนคือฉากต่อสู้แอคชั่น เป็นสมการที่แตกต่างจากหนังเรื่องอื่นโดยสิ้นเชิง ซึ่งมันกลายเป็นจุดสุดยอดอันน่าตกใจของหนังเรื่องนี้

Kaila Hail-Stern จากเว็บไซต์ The Mary Sue


สำหรับพวกเราซึ่งเป็นแฟนตัวยงของภาพยนตร์เรื่อง Infinity War ถือได้ว่านี่คือความสุดยอดของการสร้างและรอคอยมาอย่างยาวนาน เพราะตัวละครทั้งหมดที่เรารู้จักและชื่นชอบ ได้รวมตัวอยู่ที่นั่น และพวกเขาหลายคนได้โต้ตอบกันเป็นครั้งแรก ถือว่าคุ้มค่ากับราคาตั๋วเลยทีเดียว


"มีใครที่รู้สึกเบื่อหน่ายบ้างไหม?"


Angie Han จากเว็บไซต์ Mashable


การเดิมพันสำหรับการสิ้นสุดของอารยธรรมมนุษยชาติอันยิ่งใหญ่อยู่ที่นี่ มันเต็มไปด้วยอันตรายร้ายแรง และพวกเขาต้องหาวิธีการที่ดีที่สุดในการต่อสู้เพื่อให้มีชีวิตรอดไปอีกวัน


"แน่นอนทั้งหมดคือเรื่องโกหก"


Kaila Hail-Stern จากเว็บไซต์ The Mary Sue


ถ้าคุณไม่เคยดูหนังเรื่องนี้ หรือไม่รู้จักคาแรกเตอร์ของตัวละครเหล่านี้ คุณอาจจะเต็มไปด้วยความสับสน เพราะในหนังจะไม่มีการแนะนำว่าพวกเขาเหล่านี้คือใคร หรือพละกำลังและความสามารถของแต่ละตัวเป็นอย่างไร ยกเว้น Black Panther ที่มีเรื่องราวส่วนใหญ่แยกออกจากตัวละครจากจักรวาลมาร์เวลตัวอื่นๆ แต่ฉันก็เชื่อว่าคุณรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับมัน ยกเว้นแต่ว่าคุณได้ชวนเพื่อนที่ไม่ได้เป็นสาวกของมาร์เวลเข้ามาดูหนังด้วย ซึ่งคุณก็อาจจะต้องเตรียมตัวตอบคำถามพวกเขาให้ดี

Todd McCarthy, The Hollywood Reporter


มาร์เวลสามารถสร้างความมหัศจรรย์ที่น่าเหลือเชื่อในวันนี้ พวกเขานำเอาตัวละครซูเปอร์ฮีโร่เกือบจะทั้งหมดที่มีมาไว้ภายในหนังเพียงเรื่องเดียว ซึ่งครึ่งแรกของหนังพวกเขาก็ขยันสับเปลี่ยนตัวลงไปในดาดฟ้าที่เดียวกัน

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ข้อมูลจาก www.mashable.com

วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2561

Facebook หนุน Creator สร้างรายได้จากวิดีโอด้วยวิธีการใหม่ พร้อมผลักดันให้ผู้ใช้เข้าดูมากขึ้น


โดยการเคลื่อนไหวของ Facebook ในครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณแห่งความทะเยอทะยานที่มีมากขึ้นในการแข่งขันกับแพลตฟอร์มวิดีโอเจ้าใหญ่อย่าง YouTube, Netflix, Hulu และ Amazon Video

ส่วนตัว Facebook เองก็กำลังเดินการในขั้นตอนช่วยผู้สร้างวิดีโอ และผู้เผยแพร่โฆษณาให้สามารถสร้างรายได้จากเนื้อหา โดยมุ่งเป้าไปที่การดึงดูดผู้ใช้งานให้เข้าชมวิดีโอมากขึ้น ซึ่งในประกาศล่าสุดที่มาจาก Facebook ได้บอกไว้ว่าตัว Facebook จะเพิ่มการทำงานรูปแบบใหม่เข้าไปภายใน News Feed เพื่อให้ผู้เข้าชมได้รับชมโฆษณาในระยะเวลาสั้นๆ "Quick Ad" ก่อนทำการส่งโฆษณาเข้าสู่ Watch (Facebook เวอร์ชั่นไทยยังไม่ปรากฏฟีเจอร์นี้) ทั้งนี้ Facebook ยังกล่าวไว้อีกว่า พันธมิตรเนื้อหาจะเป็นตัวช่วยที่ดีในการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย และทำให้สามารถคาดการณ์การแสดงโฆษณาได้ดียิ่งขึ้น

นอกเหนือจากการโฆษณาประชาสัมพันธ์ตัวอย่างวิดีโอแล้ว Facebook ยังแนะนำคุณลักษณะที่กำหนดช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการหยุดโฆษณาภายในวิดีโอให้มีสิทธิ์สำหรับโฆษณาช่วงกลางของวิดีโอ พร้อมทำการเปิดตัวโฆษณาวิดีโอของ Facebook ด้วยคุณลักษณะ "Pre-release Safety" ที่จะทำให้ผู้สร้างวิดีโอสามารถส่งวิดีโอก่อนทำการเผยแพร่เข้าสู่กระบวนการพิจารณาว่าวิดีโอที่สร้างมีสิทธิ์ในการสร้างรายได้หรือไม่

เกณฑ์การพิจารณาวิดีโอที่มีสิทธิ์ในการสร้างรายได้


Nick Grudin จาก Facebook และเป็นผู้อำนวยการฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์ Maria Angelidou-Smith หุ้นส่วนด้านเนื้อหาฟรีค่าลิขสิทธิ์สำหรับ Pages คิดว่าการแชร์วิดีโออย่างเรียบง่าย และเป็นระเบียบไม่สามารถสร้างรายได้ให้ได้ จากมุมมองของพวกเขาต่อบุคคลที่สามตามที่ Grudin และ Angelidou-Smith กล่าวว่า วิธีนี้จะช่วยเพิ่มการกระจายที่มีคุณภาพให้กับ Facebook และยังดึงโฆษณาออกจากรูปแบบวิดีโอที่ให้ประสบการณ์การชมวิดีโอที่ไม่ดี เช่น วิดีโอที่มีภาพนิ่งเท่านั้น หรือวิดีโอวนรอบเนื้อหาเดิมซ้ำๆ ซึ่ง Grudin และ Angelidou-Smith ก็จะมีการใช้กฎใหม่ในแต่ละขั้นตอนเพิ่มมาอีก

นอกจากนี้ Facebook ยังประกาศว่าจะเริ่มให้ความสนใจกับหน้าเพจที่ส่วนใหญ่จะแบ่งปันภาพวิดีโอจากแหล่งอื่นด้วยการแก้ไขที่เพิ่มเติม หรือดัดแปลง เนื่องจากไม่ใช่วิธีที่ดีและละเมิดหลักเกณฑ์ด้านเนื้อหาของ Facebook ถึงแม้ว่า Facebook จะไม่บังคับในเรื่องนี้โดยตรง แต่เราต้องการส่งสัญญาณให้ผู้สร้างเนื้อหาวิดีโอทราบว่า นี่เป็นรูปแบบการเขียนโปรแกรมที่ทาง Facebook ได้ประเมินในช่วง 2-3 สัปดาห์และหลายเดือน เพื่อหาระดับการกระจายและการสร้างรายได้ให้ตรงกับค่าที่ผู้คนทำไว้

จากการเคลื่อนไหวล่าสุดของ Facebook นั้นก็ได้ส่งสัญญาณว่าตนเองมีความพยายามที่จะกลายเป็นคู่แข่งใหญ่ในแพลตฟอร์มวิดีโอ โดยความพยายามในการทำวิดีโอของ Facebook พิสูจน์ได้ว่า Facebook ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือสำหรับเผยแพร่วิดีโอของผู้ใช้เท่านั้น แต่ Facebook สามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างรายได้จากวิดีโอ และนำผู้ใช้งานออกจากรูปแบบการดูวิดีโอแบบเดิมๆ โดยได้แรงบันดาลใจในการแข่งขันกับ YouTube, Netflix หรือ Hulu 


------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ข้อมูลจาก www.marketingland.com

วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2561

10 เทคนิคการจัดกระเป๋าเดินทาง เพื่อให้เหลือที่ว่างอย่างง่ายๆ


เมื่อจะต้องออกเดินทางในแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางเพื่อการท่องเที่ยว เพื่อธุรกิจ หรือไม่ว่าจะเป็นการเดินทางโดยมีจุดหมายปลายทางอย่างไรก็แล้วแต่ สิ่งที่ยุ่งยากและน่าหนักใจมากที่สุดสำหรับหลายๆ คนก็คือการจัดกระเป๋านั่นเอง เพราะการจัดกระเป๋าเดินทางนั้นไม่ใช่แค่การยัดๆ เสื้อผ้าหรือข้าวของเครื่องใช้ใส่ลงไปในกระเป๋าเท่านั้น แต่คุณต้องคำนึงถึงขนาดและน้ำหนักของกระเป๋าด้วย โดยเฉพาะการเดินทางโดยเครื่องบินที่มีการจำกัดน้ำหนัก ทั้งกระเป๋าที่ถือขึ้นเครื่องและกระเป๋าที่โหลดใต้ท้องเครื่อง รวมถึงในกรณีที่คุณเป็นขาช้อปตัวยงแล้วล่ะก็ การจัดกระเป๋ายิ่งเป็นเรื่องที่ลำบากมากขึ้นเป็นเท่าตัว เพราะไม่เช่นนั้นกระเป๋าเดินทางใบโปรดของคุณอาจระเบิดตัวเองในระหว่างทาง หรือไม่ก็ออกลูกออกหลานเพิ่มอีกหลายใบ จนคุณไม่สามารถแบกกลับมาได้เพียงคนเดียว


ทั้งนี้เราตระหนักดีว่าการเดินทางในแต่ละครั้ง ทุกขั้นตอนล้วนมีความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมเอกสาร การจัดกระเป๋า จนกระทั่งจบทริป ดังนั้นวันนี้จึงมีทิปส์สำหรับการจัดกระเป๋าเดินทางมาฝากคุณผู้อ่านค่ะ ซึ่งทิปส์ที่เรานำมาฝากนี้จะช่วยให้คุณประหยัดเนื้อที่ในกระเป๋าได้มากขึ้น และสามารถช้อปปิ้งของที่ต้องการได้โดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องของน้ำหนักกระเป๋าอีกต่อไป

1. สำหรับคุณผู้หญิงทั้งหลาย แน่นอนว่าใครๆ ก็อยากสวยตลอดเวลา ซึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือเมื่อเราต้องจัดกระเป๋าเดินทางความรู้สึกของการรักพี่เสียดายน้องจึงเกิดขึ้น คุณจะมีความรู้สึกว่าเสื้อตัวนี้ก็สวย เดรสชุดนั้นใส่สบาย กางเกงตัวนู้นฉันใส่แล้วหุ่นดี และพอคุณรู้ตัวอีกทีเสื้อผ้าก็กองเป็นภูเขาเลากาเสียแล้ว ทางแก้ปัญหาก็คือให้ตัดใจ และเลือกเสื้อผ้าเพียงครึ่งเดียวจากกองที่คุณเลือกไว้เท่านั้น

Cr: www.goodhousekeeping.com 

2. โดยปกติสายการบินจะอนุญาตให้ผู้โดยสารสามารถนำกระเป๋าติดตัวขึ้นเครื่องได้ไม่เกิน 7 กิโลกรัม ดังนั้นสิ่งของที่ผู้โดยสารนำติดตัวไม่ควรชิ้นใหญ่จนไม่สามารถยัดใส่กระเป๋าได้ และควรเป็นสิ่งที่คุณจำเป็นต้องใช้ระหว่างอยู่บนเครื่อง หรือเมื่อลงจากเครื่องเรียบร้อย อย่างเช่นเอกสารการเดินทาง เครื่องสำอาง หมอนรองคอ หรือเสื้อคลุมในกรณีที่จุดหมายปลายทางมีอากาศค่อนข้างหนาวเย็น เป็นต้น


3. หากสัมภาระที่นักท่องเที่ยวต้องการพกพาไปด้วยหรือซื้อกลับมาเป็นสิ่งของที่แตกหักง่าย เช่น เหล้า เครื่องแก้ว เครื่องปั้นดินเผา เครื่องลายคราม เป็นต้น ก่อนจะเก็บลงกระเป๋าเดินทางควรบรรจุในหีบห่อที่แข็งแรงเสียก่อน โดยภายในต้องมีวัสดุกันกระแทกซ้อนเอาไว้ด้วย จากนั้นในขั้นตอนโหลดกระเป๋าให้แจ้งเจ้าหน้าที่สายการบินให้ทราบ เพื่อที่เจ้าหน้าที่จะได้นำฉลาก Fragile หรือฉลากแก้วแตกมาติดไว้ที่กระเป๋า ซึ่งหมายถึงสิ่งของภายในหีบห่อนั้นสามารถแตกเสียหายหรือชำรุดได้โดยง่ายนั่นเอง


4. จัดกระเป๋าเดินทางโดยใช้วิธีการมิกซ์แอนด์แมตช์ ซึ่งในข้อนี้อาจจะเหมาะสำหรับคุณผู้ชายมากกว่าคุณผู้หญิง หรือนักท่องเที่ยวประเภทขาลุยแบ็คแพ็กเกอร์ทั้งหลาย ที่ไม่ได้เน้นความสวยความงามของตัวเองสักเท่าไรนัก เช่น คุณวางแผนการเดินทางไว้ทั้งหมด 9 วัน เพียงคุณนำเสื้อยืดไป 3 ตัว กับกางเกงอีก 3 ตัว ก็สามารถมิกซ์แอนด์แมตช์เสื้อผ้าให้เป็น 9 ชุดได้แล้ว


5. ผู้เขียนยอมรับว่าหนังสือคือแหล่งความรู้ชั้นดี โดยเฉพาะเมื่อคุณต้องเดินทางไปในถิ่นที่ไม่คุ้นเคยแล้วละก็ ไกด์บุ๊กดีๆ สักเล่มสองเล่มก็ช่วยให้คุณสามารถเอาตัวรอดได้แล้ว แต่ก็อย่าลืมว่าหนังสือแต่ละเล่มนั้นมีน้ำหนักไม่ใช่น้อย ดังนั้นการแบกหนังสือติดตัวไปด้วยอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก หากนักท่องเที่ยวต้องการข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ควรโหลดเก็บไว้ในไอแพดหรือสมาร์ทโฟนจะสะดวกและประหยัดเนื้อที่ได้มากกว่า


6. เครื่องใช้ไฟฟ้าไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นเตารีดหรือไดร์เป่าผมก็ตาม นั่นก็เพราะว่าโรงแรมส่วนใหญ่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้ไว้สำหรับแขกผู้เข้าพักอยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ดี ควรเลือกเฉพาะเสื้อผ้าที่ไม่จำเป็นต้องรีดหรือค่อนข้างยับยาก ส่วนทรงผมสำหรับคุณผู้หญิงควรจะเตรียมกิ๊บหรือยางมัดผมเก๋ๆ ไปด้วย ก็จะทำให้สะดวกในการจัดแต่งทรงผมโดยที่ไม่ต้องใช้ไดร์เป่าผมให้ยุ่งยาก


7. แจ็คเก็ตและเสื้อกันหนาวถือเป็นปัญหาใหญ่สำหรับการจัดกระเป๋าเดินทางเลยทีเดียว เนื่องจากขนาดที่ใหญ่และความหนาที่มากกว่าเสื้อผ้าธรรมดาทั่วไป จึงทำให้กินพื้นที่ของกระเป๋าและทำให้น้ำหนักของกระเป๋าเพิ่มขึ้นอีกหลายกิโลกรัม ดังนั้นก่อนจะจัดกระเป๋าเราควรตรวจสภาพอุณหภูมิของสถานที่ที่เราจะไปเสียก่อน ถ้าอุณหภูมิไม่หนาวมากนักเพียงแค่เสื้อคลุมตัวบางก็เพียงพอแล้ว


8. หลีกเลี่ยงเสื้อผ้ายีนส์ทั้งหลายแหล่ เพราะนอกจากยีนส์จะมีขนาดใหญ่และน้ำหนักมากแล้ว มันยังดูดซับสิ่งสกปรกได้ง่าย รวมถึงกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ด้วย ดังนั้นหากจะเลือกเสื้อผ้าสำหรับการเดินทาง ตัวเลือกที่ดีที่สุดก็คือเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าฝ้าย ซึ่งนอกจากจะสวมใส่สบายแล้วยังระบายอากาศและซับเหงื่อได้ดีอีกด้วย


9. สิ่งของชิ้นไหนที่สำคัญสำหรับคุณ หากไม่จำเป็นต้องใช้กรุณาอย่าพกติดตัวเดินทางไปด้วยอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก กล้องตัวใหญ่ ขาตั้งกล้อง เป็นต้น เพราะนอกจากคุณจะต้องระมัดระวังมากกว่าปกติแล้ว ยังอาจต้องทนปวดเมื่อยจนหมดสนุกเมื่อต้องแบกมันไว้บนบ่าอยู่ตลอดเวลา


10. ของใช้พื้นฐานสำหรับมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นสบู่ แชมพู โลชั่น ถุงเท้า เสื้อยืด ฯลฯ แทบจะทุกประเทศทั่วโลกล้วนมีขายและราคาไม่แพงมากนัก ดังนั้นหากคุณจะลืมเตรียมสิ่งของพวกนี้ คุณก็สามารถหาซื้อได้สบายๆ


เห็นไหมคะว่าเพียงเทคนิคง่ายๆ ในการจัดกระเป๋าเดินทางที่เรานำมาฝากทั้ง 10 ข้อนี้ คุณก็จะเหลือพื้นที่ว่างในกระเป๋าอย่างเหลือเฟือแล้วล่ะค่ะ จากนี้จะช้อปจะซื้อของเยอะแค่ไหนก็ไม่ต้องกลัวกระเป๋าระเบิดอีกต่อไปแล้ว

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ข้อมูลจาก Content Marketing Story @Am2b Marketing

วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2561

เกาะโคโมโด ความงามแฝงอันตราย


ท่ามกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ไกลออกไป ณ ผืนทะเลอันเป็นดินแดนระหว่างมหาสมุทรอินเดีย มหาสมุทรแปซิฟิก คาบสมุทรอินโดจีน และพื้นที่คาบเกี่ยวทวีปออสเตรเลีย ที่นี่เป็นที่ตั้งของหมู่เกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยประกอบด้วยหมู่เกาะน้อยใหญ่ที่กระจายกันอยู่กว่า 17,508 เกาะ ซึ่งคนทั่วโลกต่างเรียกขานดินแดนแห่งนี้ว่า "ประเทศอินโดนีเซีย"


วันนี้เราจะชวนทุกท่านขึ้นเรือสำราญลำใหญ่ เพื่อไปสำรวจเกาะแก่งแห่งอินโดนีเซียกัน โดยเราจะเร่งเรือเดินหน้าเต็มสูบไปทางทิศตะวันออกของเกาะชวาอันเป็นที่ตั้งของหมู่เกาะซุนดาน้อย โดยจุดมุ่งหมายของเราก็คือเกาะเล็กๆ ที่มีชื่อว่า "เกาะโคโมโด" ส่วนหนึ่งของหมู่เกาะซุนดาน้อยซึ่งเกิดขึ้นจากการระเบิดของภูเขาไฟในอดีต จนกลายเป็นเกาะขนาด 75 ตารางไมล์ ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยระบบนิเวศน์อันหลากหลายนั่นเอง

Cr: www.telegraph.co.uk

หากมองจากภายนอก เกาะโคโมโดนั้นถือเป็นเกาะที่มีความงามเข้าขั้นสมบูรณ์แบบอีกแห่งหนึ่งของโลก ด้วยภูเขาสีเขียวอันเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์จำนวน 25 ชนิด น้ำทะเลสีฟ้าใสที่เต็มไปด้วยแนวปะการังและฝูงปลาหลากสี และหาดทรายสีชมพูเนื้อละเอียด 1 ใน 7 แห่งของโลก แต่ใครเลยจะคิดว่าภายในเกาะที่ดูคล้ายกับสวรรค์บนดินแห่งนี้ กลับแฝงไปด้วยอันตรายอย่างยิ่งยวดจากสัตว์นักล่าที่มีนามว่า "มังกรโคโมโด" กิ้งก่าตัวยักษ์ที่เหลือรอดมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์


โดยเฉพาะในช่วง 100 ปีก่อนที่มนุษย์จะเข้ามายึดครองดินแดนแห่งนี้ มังกรโคโมโดนั้นคือสัตว์นักล่าที่ยิ่งใหญ่ประจำเกาะที่ใครๆ ก็ต่างกริ่งเกรง เพราะไม่เพียงแต่สัตว์ป่าตัวอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ภายในเกาะเท่านั้นที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับพวกมัน แต่มนุษย์เองก็เคยตกเป็นเหยื่อของพวกมันด้วยเช่นเดียวกัน อย่างเช่นในปี 1974 เมื่อนักท่องเที่ยวชาวสวีเดนที่เดินทางมายังเกาะแห่งนี้ได้หายตัวไปอย่างลึกลับ ไม่เพียงเท่านั้น ต่อมาเมื่อชาวอินโดนีเซียจำนวนหนึ่งย้ายถิ่นฐานมาอาศัยอยู่ที่นี่ หลายครั้งเช่นกันที่เด็กชาวบ้านก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย


แต่แล้ว... เมื่อวันเวลาที่ผันผ่านนั้นมาพร้อมกับความเจริญที่มีมากขึ้น มังกรนักล่าแห่งเกาะโคโมโดก็เปลี่ยนฐานะจากผู้ล่ากลายเป็นผู้ถูกล่าเสียเอง จนทำให้ปัจจุบันสถานะของมังกรโคโมโดเข้าขั้นเกือบสูญพันธุ์เต็มที ดังนั้น ทางการอินโดนีเซียจึงต้องมีมาตรการเพื่อคุ้มครองพวกมันเอาไว้ และแต่งตั้งให้เกาะโคโมโดเป็นอุทยานแห่งชาติเพื่อป้องกันการรุกรานจากน้ำมือมนุษย์

นอกจากนั้นองค์การยูเนสโกยังได้รับรองให้ที่นี่เป็นมรดกโลกในปี 1991 อีกทั้งเกาะโคโมโดยังได้รับการคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติแห่งใหม่ของโลกในปี 2011 อีกด้วย ซึ่งนั่นก็ทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของประเทศอินโดนีเซียไปในที่สุด

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ข้อมูลจาก Content Marketing Story @Am2b Marketing

วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2561

ทริปสายบุญมาเก๊า-ฮ่องกง กินหรู อยู่สบาย เจ้านายที่รักจ่ายตลอดทริป (ตอนที่ 2)



จากกระทู้ที่แล้ว เราได้ใช้ชีวิตวนเวียนอยู่บนเกาะมาเก๊ามาแล้วถึง 3 วัน 3 คืน

ทริปสายบุญมาเก๊า-ฮ่องกง กินหรู อยู่สบาย เจ้านายที่รักจ่ายตลอดทริป (ตอนที่ 1)
https://pantip.com/topic/37459347

ตอนนี้เรากลับมาแล้วค่ะ ขอโทษที่ใช้เวลาในการเขียนนานไปหน่อย เพราะช่วงนี้งานค่อนข้างแน่นค่ะ แล้วก็เราเพิ่งกลับมาจากเกาหลีใต้ด้วย ยังไงจะมารีวิวการเที่ยวเกาหลีของเราในโอกาสต่อไปนะคะ

6 มีนาคม 61 มาเก๊า - ฮ่องกง - ตึก ICC - วัดเจ้าแม่กวนอิมทินหัว อ่าวรีพัลส์เบย์ - มงก๊ก

เช้าวันนี้ก็ถึงเวลาที่พวกเราต้องโบกมือลาลาสเวกัสแห่งโลกตะวันออก เพื่อเดินทางสู่จุดหมายปลายทางต่อไปของเรากันแล้ว วันนี้เรารีบตื่นขึ้นมาอาบน้ำคัดเบ้าตั้งแต่ตี 5 ครึ่งเพราะคิดว่าจะรีบไปหาที่ช้อปปิ้งในช่วงเช้า ละลายเงินมาเก๊าที่ได้รับทอนมาให้หมด



เพื่อนๆ ห้องอื่นเค้ายังไม่ตื่นกัน แต่ฉันพร้อมแล้วสำหรับการไปช้อปปิ้งในเช้าวันนี้ โฮะๆๆๆ แต่หลังจากนั้นไม่ถึง 30 นาที เราก็ต้องกลับขึ้นมาที่ห้องอีกรอบหนึ่ง เพราะร้านค้าภายในบริเวณโรงแรมยังมิทันเปิดเลย จะเดินออกไปข้างนอกหมอกก็ลงหนา เลยต้องกลับมาตั้งหลักอีกรอบซะก่อน



07.30 น. ได้เวลาออกไปสำรวจนอกโรงแรมแล้ว แต่... จะไปที่ไหนอ่ะ เดินวนไปมา 2 รอบ สุดท้ายเลยตัดสินใจข้ามถนนไปยังฝั่งเวเนเชี่ยน ส่วนใหญ่ร้านค้าจะเปิดช่วง 10.00 น. ค่ะ แต่เราต้องรีบเช็คเอ้าท์เพื่อไปขึ้นเรือในช่วง 09.00 น. ก็เลยได้ขนมในมินิมาร์ทที่เปิดให้บริการในเวเนเชี่ยนกลับมาเป็นของฝากที่บ้านในที่สุด



เกือบ 10 นาฬิกาก็ได้เวลาที่ล้อหมุนไปยังท่าเรือเพื่อข้ามไปยังฝั่งเกาลูน เรายังคงอาศัยเรือ TURBoJET ชั้น Super Class เหมือนเดิมค่ะ โดยเรือจะออกจากมาเก๊าในเวลา 11.05 รอไม่นานก็ได้เวลาผ่าน ตม. ไปขึ้นเรือแล้ว









บ๊ายยยบายมาเก๊า... รอบนี้อาหารบนเรือใช้ได้กว่ารอบขามา แต่ดันลืมถ่ายรูปซะงั้น แต่อาหารก็คล้ายๆ กับตอนขามานั่นแหละค่ะ แต่จะเปลี่ยนไปก็แค่สลัดกุ้ง และขนมปังที่นิ่มขึ้น (แต่เรายกให้น้องอีกคน)

ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก็มาถึงฝั่งฮ่องกง ซึ่งนี่ก็เป็นครั้งที่ 2 ของเราในการมาเยือนที่นี่อย่างเป็นทางการ ถ้าไม่นับรวมตอนที่เครื่องบินมาลงที่สนามบินเช็กแล็บก็อกนะ หลังจากลงเรือแล้วเราก็เดินขึ้นบันไดเลื่อนเพื่อไปยังจุด Immigration ค่ะ ในใจของเราคือชิลล์มาก เดินเข้าแถวไปเป็นคนแรกเลยจ้า

แต่ปรากฏว่า ตม. ค่ะ ไม่รู้ว่าเกิดความสงสัยอันใดขึ้นมา ก็ถามเราว่ามากันทั้งหมดกี่คน ตอนนั้นคือรู้ว่ามาสามสิบกว่าคน แต่ไอ้คำว่า “สามสิบกว่าคน” นี่ภาษาอังกฤษมันต้องพูดไงหว่า... สุดท้ายเลยตอบไปมั่วๆ ว่ามากัน 34 คน (ซึ่งเป็นจำนวนที่ใช่จริงๆ) เราก็ชี้ๆ แถวที่มาด้วยกันนั่นแหละค่ะ ก็บอกเนี่ยมาด้วยกันหมดเลย สักพักก็มี ตม. ผู้ชายอีกคนเดินมาพูดอะไรก็ไม่รู้ (ภาษาจีน) แล้วก็ชี้มือชี้ไม้มาที่กลุ่มพวกเรา

สรุปเรารอดค่ะ และทั้งกรุ๊ปนอกจากผู้ชายแล้ว มีผู้หญิงที่รอดชีวิตออกมาเพียงแค่ 4 คนเท่านั้น ส่วนที่เหลืออีก 10 ชีวิตถูกเชิญไปอีกทางหนึ่ง โดยที่เจ้าหน้าที่เดินมาชี้ตัวสุ่มๆ ไปเลย

พวกเราก็มารอรับกระเป๋าแล้วก็รอสักพักค่ะ ไกด์ท้องถิ่น (เป็นชายไทย ไม่ทราบนามสกุล ทราบแต่ชื่อเล่น) เดินมาหาแล้วบอกรถมารอรับแล้ว ให้ขึ้นรถไปรอก่อน เราก็รอไปค่ะ ประมาณเกือบๆ ครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ สาวๆ ทั้งหมดก็ถูกปล่อยออกมา เป็นอันว่าโล่ง!!! (ช่วงนี้ลืมถ่ายร่งถ่ายรูปไปแล้ว มัวแต่ลุ้น)

หลังจากสมาชิกครบแก๊ง ซึ่งขณะนั้นก็เป็นเวลาเกือบบ่ายโมงแล้ว ท้องเริ่มร้องเรียกหาอาหาร ส่งเสียงคำรามฮึ่มฮั่มๆ เป็นระยะ นายบอกเดี๋ยวจะพาไปทานมื้อพิเศษ ร้านนี้จองยากมากกกก อ่าจ้า ตอนนี้หากมีอะไรบินผ่านหน้า หนูก็สามารถทานได้หมดค่ะนาย



ไม่นาน รถบัสคันใหญ่ก็พาเราขับวนขึ้นไปหน้าล็อบบี้ชั้น 9 ของตึก ICC มื้อแรกของฮ่องกงวันนี้เราจะมาทานติ่มซำกันที่ Tin Lung Heen ภัตตาคารอาหารจีนสุดหรูชั้นเลิศที่การันตีโดย 2 ดาวมิชลินสตาร์ที่ตั้งอยู่บนชั้น 102 ของตึกค่ะ ไปกันโลด...









ใช้เวลาขึ้นลิฟท์ไม่กี่อึดใจ ก็มาถึงหน้าร้านแล้ว การตกแต่งที่นี่โอเคใช้ได้ หรูหราดูดีเลยทีเดียว แถมวิวก็ถือว่าเริดเลยทีเดียว แต่น่าเสียดายนิดหน่อยที่วันนี้ค่อนข้างมีหมอกหนาไปสักนิด เลยมองไม่ค่อยเห็นอะไรสักเท่าไหร่







วิวเมืองจากชั้น 102 วันนี้หมอกค่อนข้างหนาค่ะ แต่นั่งทานข้าวไปสักพักใหญ่ๆ หมอกก็ค่อยๆ จางลงนิดหน่อย เราเลยสามารถเก็บภาพที่ (พอจะ) ชัดบ้างมาได้แค่นี้





ส่วนบรรยากาศภายในภัตตาคารก็จะตกแต่งแบบเรียบหรูดูดี ด้วยโทนสีที่ค่อนข้างให้ความอบอุ่นค่ะ ซึ่งห้องที่นายจองไว้จะเป็นห้องส่วนตัว แบ่งออกเป็น 3 โต๊ะใหญ่ เพราะพวกเรามีกันหลายคน



นั่งรอที่โต๊ะสักพัก อาเล่ย (ชื่อบริกรที่พวกเราแอบตั้งให้) ก็มาเสิร์ฟชาเป็นอย่างแรก ไม่รู้ว่าเป็นชาอะไร แต่มีกลิ่นหอมและรสดีมาก ส่วนอาเล่ยเป็นบริกรที่ใส่ใจลูกค้าดีเลิศเลยล่ะค่ะ เพราะเธอไม่เคยปล่อยให้ชาพร่องเลยแม้แต่น้อย เติมเต็มตลอด เราก็ดื่มซะท้องป่องยังกะท้องสาววัย 5 เดือนแน่ะ



อาหารจานแรกที่อาเล่ยนำมาเสิร์ฟ เป็นฮะเก๋ากุ้งโปะหน้าด้วยทองคำเปลวค่ะ กุ้งตัวใหญ่เต็มปากเต็มคำดีมาก



ตามมาด้วยขนมปังหน้ากุ้งที่ไม่เลี่ยนเลย ทานกับซอสพริกเข้ากันดี๊ดี



ขนมจีบหมู จานนี้ต้องมาค่ะ เต็มปากเต็มคำ ชุ่มฉ่ำสุดๆ



จานนี้คล้ายๆ ข้าวเกรียบปากหม้อบ้านเราค่ะ 555 ไม่รู้เขาเรียกว่าอะไรเหมือนกันนะคะ ข้างในจะเป็นไส้กุ้ง ส่วนน้ำราดจะออกรสเปรี้ยวนิดๆ เผ็ดหน่อยๆ



ส่วนจานนี้ ก็ยังคงคอนเซ็ปต์ข้าวเกรียบปากหม้อบ้านเรา (เหมือนเดิม) ค่ะ แต่เพิ่มเติมคือข้างในจะเป็นไส้หมูแดง และรสชาติจะอ่อนกว่าจานข้างบน





จานนี้ตอนที่เห็นอาเล่ยยกมาเสิร์ฟเราคิดว่าเป็นขนมปังค่ะ แต่ไม่ใช่แฮะ มันเหมือนกับซาลาเปาอบมากกว่า เพราะผิวสัมผัสข้างนอกมันจะไม่เหมือนกับซาลาเปาทอด มันจะกรอบๆ เหมือนขนมปัง แถมยังไม่มันด้วย ส่วนไส้ข้างในเป็นหมูแดง จานนี้เราชอบมาก



เมนูที่ขาดไม่ได้ กรุบกรอบกว่าทุกร้านที่ผ่านมา



เมนูหนักท้อง ข้าวผัดกุ้งกับหมูแดง รสชาติอ่อนๆ อร่อยดี เนื้อกุ้งก็เด้งดึ๋งๆ ในปากในลิ้น



ผัดเปรี้ยวหวาน (อีกแล้ว) น่าจะเป็นเมนูยอดนิยมของคนจีนรึเปล่า มีแทบทุกครั้ง เราชิมไปคำเดียว ออกรสหวานนำ เปรี้ยวตามนิดๆ สรุปคือไม่ใช่แนว 555



จานนี้เราชอบมากกกก เป็นขนมปังขิงทานคู่กับหอยเชลล์ย่างค่ะ หอยเหนียวนุ่มเต็มคำดี เข้ากั๊นเข้ากันกับขนมปังขิงและซอสหอมที่ราดคู่กันมาที่เค็มนิดๆ



Recommended ของทางร้านเค้าล่ะ เป็นเนื้อวากิวผัดซอสกับกระเทียมค่ะ ใครไม่ทานเนื้อนี่ขอบอกเลยว่าเสียดายแทน เพราะเนื้อนุ่มมากกก แทบไม่ต้องเคี้ยว มันเหมือนละลายในปากได้เลย



และสุดท้าย ของหวานล้างปากเป็นเค้กชาเขียวรสชาติเข้มข้นค่ะ (แต่เราไม่ได้ชิมนะ)





หลังจากอิ่มท้องแล้ว พวกเราก็ลงมารอรถบัสอยู่ภายในบริเวณล็อบบี้ชั้น 9 เนื่องจากอากาศเย็นมากกก ลมก็แรงกมากด้วย





สำหรับจุดหมายป้ายต่อไปของเราก็คือที่นี่เลยจ้า “วัดเจ้าแม่กวนอิมทินหัว อ่าวรีพัลส์เบย์” ซึ่งวันนี้ก็มีทัวร์จีน ซึ่งส่วนใหญ่มีเชื้อสายมาจากราชวงศ์ชิงค่อนข้างเยอะเหมือนกัน...แ_’ง ชิงมังแทบทุกที่ทุกจุดเลย



ก่อนจะเดินเข้าวัด หันไปจ๊ะเอ๋กับน้องหมาตัวนี้เลยแวะทักทายน้องนิดหน่อย น้องเชื่องมากกก เก๊กหน้าหล่อให้พี่สาวแชะภาพด้วย น่าร้ากกกก





จากนั้นก็เดินเข้าไปวัดไปเลยจ้า แต่เดี๋ยวก่อน!! สิ่งสำคัญที่ต้องไม่ลืมก็คือ เราต้องเดินเข้าวัดด้วยเท้าซ้าย ส่วนเวลาเดินออกก็ต้องก้าวเท้าขวานำค่ะ พอเข้าไปแล้วเราก็จะเจอเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าทางเข้าวัดเลยค่ะ แต่ก่อนที่ไหว้สักการะท่าน คุณจะสังเกตเห็นรูปปั้นสิงโตโตหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางด้านขวาของประตูทางเข้า ซึ่งในปากจะคาบลูกแก้วเอาไว้ เราก็จัดการลูบลูกแก้วในปากสิงโตเลยค่ะเป็นการเสริมดวงให้มีแต่ความโชคดี ทำอะไรก็เป็นเงินเป็นทอง มีแต่โชคลาภเข้ามาหาตัวเอง ประมาณนั้น จากนั้นจึงค่อยไหว้ขอพรเจ้าแม่กวนอิมเป็นลำดับต่อไป





ส่วนด้านขวามือขององค์เจ้าแม่กวนอิม ก็จะเป็นที่ตั้งของเจ้าแม่ทับทิม ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งท้องทะเล เราก็สามารถขอพรองค์ท่านเพื่อมอบพลังให้เราในการทำกิจการค้าขายได้ด้วยค่ะ







ตอนนี้เราก็เก็บภาพไปเรื่อยๆ พร้อมกับขอพรองค์เทพต่างๆ ไปเรื่อยๆ  ไม่ว่าจะเป็นการไหว้ขอพรโชคลาภจากเทพเจ้าไฉ่ซิงยิ้ม ซึ่งตั้งอยู่บริเวณด้านหน้ารูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่





ไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้เช่นเดียวกัน ภาพแรกคือพระสังกัจจายน์ค่ะ คู่แต่งงานที่ยังไม่มีลูกแล้วอยากมีลูกก็สามารถมาขอพรแล้วก็ลูบไปที่ท้องท่านได้ หรือถ้าคนโสดก็สามารถขอให้การเงินอุดมสมบูรณ์ได้เช่นเดียวกัน ส่วนภาพต่อมาเป็นเซียนปลาค่ะ เวลาขอพรก็ให้เราเขียนชื่อ-นามสกุล เลขที่บัญชี แล้วก็จำนวนเงินที่ต้องการลงบนสมุดข่อยของท่านได้ค่ะ (แต่ขอในสิ่งที่เป็นไปได้นะคะ)





สะพานอายุยืน เชื่อว่าหากเดินข้ามไปจะมีอายุยืนขึ้นไปอีก 3 ปีค่ะ โดยก้าวเท้าซ้ายเดินนำขึ้นสะพานข้ามไปยังอีกฝั่ง หลังจากนั้นขากลับห้ามข้ามสะพานกลับมาเด็ดขาด ให้เดินบนเส้นทางอื่นแทน เพราะไม่งั้นจะอายุสั้นลงนะจ๊ะ



จุดนี้เป็นจุดที่ทั้งนักท่องเที่ยวไทย-จีน โยนเหรียญเสี่ยงทางกันสนุกเค้าล่ะ โดยไกด์บอกว่าถ้าเราโยนเหรียญเข้าปากของปลาได้ คำอธิษฐานที่ขอพรไว้กับเจ้าแม่กวนอิมก็จะเป็นจริงดั่งใจปรารถนาค่ะ เราลองแล้วหลายรอบแต่ไม่สำเร็จ แต่ถึงอย่างนั้นศรัทธาของเราที่มีต่อเจ้าแม่กวนอิมก็ยังคงมีอยู่เหมือนเดิมนะ







เดินถ่ายภาพไปเรื่อยๆ มืดบ้าง สว่างบ้าง มันก็คงเหมือนชีวิตคนเราอ่ะนะคะ ต้องมีสว่างบ้าง มืดบ้าง แต่สุดท้ายทุกอย่างมันก็ต้องมีทางออกอยู่ดี (แน่ะ ปรัชญาสุดๆ)





สำหรับใครที่อยากเอาความโชคร้าย ความเจ็บปวด อกหักรักคุดโยนลงทะเลไปก็มาที่ศาลาตรงนี้เลยค่ะ จากนั้นก็หันหน้าออกทะเล แล้วก็อธิษฐานพร้อมโยนสิ่งที่เลวร้ายลงไปในทะเลซะ แล้วก็หันหลังกลับมาไหว้แท่นสีแดงที่อยู่ตรงหน้า พร้อมกับวาดเป็นรูปเลข 8 เพื่อนำความโชคดีมาแทนที่ค่ะ













ตอนนี้ฝนเริ่มลงเม็ดแล้ว เห็นทีคงได้เวลาที่พวกเราจะไปเช็คอินเข้าโรงแรมแล้วล่ะค่ะ ซึ่ง 2 คืนนับจากนี้ไป เราจะเข้าพักกันที่ InterContinental Hong Kong โรงแรมหรูระดับห้าดาวที่ตั้งอยู่ริมอ่าววิคตอเรียนั่นเองค่ะ











เปิดประตูเข้าไปแทบเป็นลม ห้องพักหรูมากกก (แบบว่าพักโรงแรมหรูในต่างประเทศ ซึ่งไม่ได้จ่ายตังค์เอง เลยแบบตื่นเต้น ประมาณนั้น 555) นายใจดีจองให้พวกเราเป็นห้องที่เห็นวิวริมน้ำทั้งหมดเลยค่ะ ห้องนี้เราพักกัน 3 คน มีอุปกรณ์และเครื่องใช้ที่ครบครันมาก ทั้งโทรศัพท์มือถือ+ไวไฟที่เราสามารถพกออกไปใช้ข้างนอกได้ อะแดปเตอร์ เครื่องเสียง ผลไม้ และอื่นๆ อีกมากมายค่ะ







ห้องน้ำก็กว้างมาก ถูกแยกออกเป็นสัดส่วนอย่างลงตัว ทั้งในส่วนของห้องอาบน้ำ อ่างอาบน้ำที่ใหญ่เบิ้ม และห้องที่เปิดประตูเข้าไปเป็นส่วนของชักโครก จริงๆ อยากถ่ายภาพให้เยอะกว่านี้และชัดกว่านี้นะคะ แต่หันไปเห็นน้องๆ 2 คนนอนกองแบบหมดเรี่ยวแรงอยู่หน้าประตู เราเลยเลิกถ่ายดีกว่า สงสารเด็กๆ 555

ต่อนี้ไปก็เป็นการตัดสินใจแล้วล่ะค่ะว่าจะไปเดินช้อปแถวอ่าววิคตอเรียและกินข้าวกับนาย หรือต้องการเวลาอิสระสำหรับการไปไหนก็ได้ดีกว่า ซึ่งแน่นอนเราเลือกอย่างหลังค่ะ 5555 เพราะราตรีนี้ของพวกเรามีเป้าหมายอยู่ที่ย่านมงก๊กนั่นเอง









ถึงนาทีนี้อย่างรอช้า รีบเดินฝ่าลมหนาวไปที่สถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุดกันเลย







จากสถานี Tsim Sha Tsui ใช้เวลาไปที่สถานี Mong Kok ไม่นานเลยค่ะ เราซื้อตั๋วแบบเที่ยวเดียวในราคา 6 เหรียญฯ







ถึงแล้วค่ะ ไปช้อปปิ้งกันเหอะ ถ้าพูดถึงมงก๊กแน่นอนค่ะว่าเราต้องคิดถึงรองเท้าเป็นอย่างแรก ใช่เลย วันนี้เราจะมาช้อปปิ้งรองเท้ากัน แต่ก่อนอื่นขอแวะดูของอย่างอื่นก่อนดีกว่า ที่นี่ดูดีๆ ก็คล้ายๆ สำเพ็งบ้านเราเหมือนกันนะ แถมร้านค้าเรายังสามารถต่อราคาได้มากกว่าครึ่งเลย
จากนั้นก็แวะทานข้าวที่นั่นเลย สรุปคืนนั้นได้รองเท้ากันไปคนละคู่สองคู่ แต่ของเรายังไม่โดน เลยอดไปตามระเบียบค่ะ

7 มีนาคม 61 กระเช้านองปิง - พระใหญ่ลันเตา - วัดเจ้าแม่กวนอิมพันมือ - ดิสนีย์แลนด์ - หมู่บ้านชาวประมง Lei Yue Mun


เช้าวันที่ 2 บนเกาะฮ่องกง อาจจะเพราะความเหน็ดเหนื่อยที่สะสม เลยทำให้การตื่นเช้าอันเป็นกิจวัตรประจำวันของช่วงเวลาที่ผ่านมาเริ่มเปลี่ยนไป วันนี้นาฬิกาปลุกตั้งไว้ 3 รอบยังไม่ยอมตื่นกัน แต่เนื่องจากวันนี้นายนัดพบที่ล็อบบี้ช่วง 9 โมงเช้า สุดท้ายก็เลยต้องลุกขึ้นมาอาบน้ำ แต่งหน้าแต่งตาให้ดูสดใสรับเช้าวันใหม่อันเหน็บหนาวกว่าทุกวัน

พอถึงเวลารถทัวร์คันใหญ่ก็มารับเราตรงเวลาเป๊ะ แต่คนไปกลับไม่เป๊ะเหมือนรถที่มารับ 5555 ปลายทางที่แรกสำหรับวันนี้เราเริ่มกันที่กระเช้านองปิง นักท่องเที่ยวมาต่อแถวรอขึ้นกระเช้าเยอะมากกกก ส่วนใหญ่เป็นฝรั่ง โชคดีที่ของเราไกด์จัดการจองตั๋วไว้ให้แล้ว เลยไม่ต้องไปเข้าแถวรอซื้อตั๋ว


เอาล่ะนะ ได้เวลาที่พวกเราเหล่าคาเมนไรเดอร์พร้อมออกปฏิบัติการแล้ว เฮนชิน V 1... สู้ว้อย!!



วันนี้เราจะนั่งกระเช้าคริสตัลค่ะ ชอบเลยแบบนี้ (เมื่อก่อนเราเคยกลัวความสูงนะ แต่ตอนนี้คือชอบค่ะ รู้สึกอะดรีนาลีนมันสูบฉีดเต็มที่) สนุกเขาเลยล่ะ จาก 8 คนที่อยู่ในกระเช้าเดียวกัน มีแค่ 2-3 คนเท่านั้นที่กลัวความสูง


ก้มลงมองข้างล่างเห็นคนกำลังเดินไปด้วย นับถือจริงๆ ค่ะ

สนุกอ่ะ ชอบมากกก อยากนั่งไปนานๆ แต่รู้สึกเวลามันสั้นนิดเดียว ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ของเราในการนั่งกระเช้านองปิง แต่เป็นครั้งแรกของการนั่งกระเช้าแบบคริสตัลค่ะ รู้สึกดีกว่าเยอะเลย


เพียงแค่ชั่วอึดใจก็เข้าใกล้ที่หมายแล้ว



ถึงหมู่บ้านนองปิงแล้วจ้า แต่ยังอยากนั่งกระเช้าอีกอ่ะ แหะๆๆ เพราะขากลับเราจะไม่ได้กลับไปทางเดิมค่ะ เสียดายเลย



ยังไงก็แล้วแต่ เราไปไหว้พระกันก่อนดีกว่า แล้วค่อยกลับมาเดินข้อปปิ้งแล้วทานข้าวเที่ยงที่นี่ก่อนจะเดินทางกันต่อไป


ไกด์บอกเราว่าเมื่อมาถึงต้องมาไหว้พระขอพรตรงจุดนี้ก่อนค่ะ เป็นจุดที่สามารถรับพลังได้อย่างดีที่สุด หลังจากนั้นค่อยเดินขึ้นไปนมัสการข้างบนอีกที



บันไดค่อนข้างสูงนะคะ แต่ก็มีจุดพักเป็นระยะๆ แต่ขอแนะนำว่าหากใครหัวเข่าไม่ค่อยดีก็อย่าพยายามฝืนขึ้นไปเลยดีกว่าค่ะ เราไหว้อยู่ข้างล่างก็ได้ แต่สำหรับเรามาแล้วยังไงก็ต้องขึ้นไปให้ถึงค่ะ



แม้จะหยุดพักบ้างเป็นระยะประมาณ 2 ครั้ง แต่ในที่สุดเราก็ขึ้นมาถึงจนได้โดยใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที อิอิ


พอขึ้นมาถึงข้างบนแล้ว เราก็ขอพรตรงหน้าพระท่านนี่แหละค่ะ สาธุ ขอให้บริษัทของเราเฮงๆ รวยๆ แบบอินฟินิตี้ มีโบนัสปลายปีแจกแบบแหลกราญ เงินเดือนขึ้นเอ๊าขึ้นเอา สาธุ 5555 (บอกแล้ว งานเอาหน้านี่ของถนัด หุหุ) จากนั้นก็เดินวนซ้ายรอบองค์พระอีก 3 รอบ



ระหว่างทางก็จะเจอรูปปั้นเทพต่างๆ เป็นระยะๆ ค่ะ










พร้อมกับดูวิวสวยๆ เป็นระยะ










พอครบ 3 รอบแล้วก็เดินลงไปข้างล่างดีกว่าค่ะ เพราะได้เวลาช้อปปิ้งของเราแล้ว เย้



ใช้เวลาช้อปปิ้งไม่ถึง 30 นาที (ได้รองเท้ามา 1 คู่) ก็ถึงเวลานัดทานข้าวเที่ยงแล้วค่ะ เที่ยงวันนี้เราจะทานข้าวกันที่นี่ค่ะ



พอนั่งก้นยังไม่ทันร้อน อาหารจานแรกก็มาเสิร์ฟ จานนี้เป็ดย่างค่ะ อร่อยดี ไม่เหม็นคาว



ตามมาติดๆ กับหมูแดงหมูกรอบที่หั่นออกมาชิ้นพอดีคำ ไม่บางเฉียบจนไม่รู้สึกถึงรสสัมผัส



จานนี้เป็น Recommended ของทางร้านค่ะ เป็นไข่เจียวใส่ต้นหอมธรรมดานี่แหละ แต่ท่าทางทุกคนจะชอบ เพราะสั่งเพิ่มมาอีกจาน



เมนูต่อมาเป็นเต้าหู้ราดน้ำแดงค่ะ แต่เนื่องจากเราเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบทานเต้าหู้เลยทานแค่บร็อกโคลีอย่างเดียว (แถมภาพยังไม่ชัดอีกต่างหาก)



จานต่อไปหมูนึ่งปลาเค็มค่ะ ทานกับข้าวสวยร้อนๆ อร่อยเหาะ



ผัดเปรี้ยวหวาน (มันมาอีกแล้วววววว) จานนี้ไม่ทราบรสชาติค่ะ เพราะไม่ได้ทาน แต่คิดว่ารสชาติอาจจะไม่แตกต่างจากร้านอื่นเท่าไหร่



ปิดท้ายด้วยเมนูของหวานอย่างซาลาเปาไส้ครีมค่ะ ก็เป็นรสชาติของซาลาเปาไส้ครีมนั่นแหละค่ะ ไม่มีอะไรพิเศษ



หลังจากอิ่มท้องแล้ว จุดหมายปลายทางต่อไปของเราก็คือวัดเจ้าแม่กวนอิมพันกรค่ะ ต้องนั่งรถแบบนี้บุกป่าฝ่าเขาไป โดยแยกเป็น 2 คัน ไกด์บอกว่าปกติบริษัททัวร์จะไม่จัดเส้นทางนี้ค่ะ เนื่องจากการเดินทางค่อนข้างลำบาก และต้องเสียค่าใช้จ่ายค่อนข้างเยอะ แต่พอไปถึงก็คุ้มค่าค่ะ ภายนอกบริเวณวัดรู้สึกว่ากำลังมีการปรับปรุงซ่อมแซม






เดินขึ้นบันไดไปสักการะเจ้าแม่กวนอิมข้างบนกันค่ะ



พอขึ้นมาถึงข้างบนก็จะเห็นตัวอาคารแบบนี้ ซึ่งศาลาตรงกลางจะมีทั้งหมด 4 ชั้นค่ะ โดยข้างบนจะเป็นที่ตั้งของเจ้าแม่กวนอิมพันกร และเราสามารถเดินขึ้นไปสักการะองค์พระข้างบนได้ด้วย แต่ห้ามถ่ายภาพค่ะ เราเลยสามารถถ่ายได้เฉพาะบริเวณรอบๆ และด้านหน้าประตูศาลาเท่านั้น





ถ่ายได้แค่จากหน้าประตูเท่านั้น ส่วนข้างบนจะถ่ายไม่ได้แล้วค่ะ วัดนี้ที่เราเห็นมีแต่แม่ชีนะคะ




ใช้เวลาที่นี่พอสมควร ก็ถึงเวลาปล่อยแก่ เอ๊ะ... ใช่เหรอ? 555 ถึงเวลาของความสนุกแล้วค่ะ ดิสนีย์แลนด์ที่เรารอคอยมาตลอดทั้งวัน เย้





จริงๆ จุดประสงค์ของการมาที่นี่ เพราะนายอยากพาพวกเรามาดูการแสดงพลุในช่วงเวลากลางคืนค่ะ แต่ไกด์บอกว่าตอนนี้พลุไม่มีแล้ว เนื่องจากขาดทุน จึงเปลี่ยนเป็นการแสดงพาเหรดไฟแทน แต่สำหรับเรานั้นสิ่งที่สนใจสุดๆ ก็คือเครื่องเล่นต่างหากล่ะ หุหุ ถึงนาทีนี้อย่าได้รอช้า รีบทำเวลาดีกว่า เพราะเวลาที่มาถึงก็เกือบ 16.00 น. อีกแค่ไม่ถึง 4 ชั่วโมงสวนสนุกก็ปิดแล้ว



แต่โชคดีค่ะที่วันที่พวกเราไปนั้นตรงกับวันพุธซึ่งไม่ใช่วันหยุดสุดสัปดาห์ ดังนั้นคนจึงน้อยกว่าปกติ การรอเครื่องเล่นแต่ละชนิดเลยใช้เพียงแค่ไม่นาน แต่ขัดใจตรงที่เครื่องเล่นหวาดเสียวมีน้อยนี่แหละ เพราะดิสนีย์แลนด์ฮ่องกงนั้นได้ชื่อว่าเป็นดิสนีย์แลนด์ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก ดังนั้นเครื่องเล่น หรือสถานที่ต่างๆ จึงมีน้อยกว่าดิสนีย์ที่อื่น อย่างธีมแฮร์รี่ พอตเตอร์ที่นี่ก็ไม่มีเช่นกันค่ะ


เราเริ่มที่เครื่องเล่นนี้ก่อนเลย Big Grizzly Mountain Runaway Mines Cars ระดับความเสียวพอจิ๊บๆ ขอแนะนำว่าให้นั่งหน้าสุดนะคะ เพราะเราลองมาแล้ว



แต่เครื่องเล่นที่เราไปลองแล้วขอแนะนำเลยก็คือ Space Mountain แนะนำว่าอยู่แถวหน้าสุดจะได้บรรยากาศดีที่สุดค่ะ อันนี้สำหรับคนที่ไม่กลัวความมืดนะคะ ส่วน RC Racer แนะนำที่นั่งแถวสุดท้ายเลยค่ะ ถ้าคุณไม่กลัวความสูง ส่วนไฮไลท์สำหรับแฟน Iron Man ที่จะพลาดไม่ได้เลยก็คือ "Iron Man Experience" ค่ะ ที่เหลือก็เป็นเครื่องเล่นชิลล์ๆ ค่ะ





ประมาณเกือบ 2 ทุ่ม ก็ถึงเวลาของขบวนพาเหรดแล้วค่ะ เป็นขบวนพาเหรดสั้นๆ นะคะ ใช้เวลาประมาณสิบกว่านาทีเท่านั้นเอง แต่มีคนรอชมเยอะเหมือนกัน












หลังจาก¬ขบวนพาเหรดจบลง ผู้คนก็รีบกรูกันไปที่ประตูทางออก พวกเราเองตอนนี้ท้องก็เริ่มร้องจ๊อกๆ แล้วเช่นกัน เพราะหลังจากมื้อเที่ยงจนถึงตอนนี้ก็เกือบ 20.30 น. แล้ว ยังไม่มีอาหารอย่างอื่นตกถึงท้องเลย


ใช้เวลาจากดิสนีย์แลนด์ประมาณ 40 นาที ในที่สุดเราก็มาถึงหมู่บ้านชาวประมง Lei Yue Mun แหล่งรวมอาหารทะเลชื่อดัง ฝั่งเกาลูนตะวันออก ซึ่งเป็นที่รวมของอาหารทะเลต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศค่ะ บรรยากาศแถบนี้ค่อนข้างเงียบสงบ ท่ามกลางตึกสูงใหญ่ที่รายล้อม ดูเป็นเอกลักษณ์ดีค่ะ


คืนนี้เราจะทานอาหารเย็นกันที่นี่ค่ะ ภัตตาคาร Lung Tang ซึ่งดูจากป้ายหน้าร้านแล้วน่าจะค่อนข้างมีลูกค้าคนไทยแวะเวียนมามากพอสมควร เพราะอาม่าที่มาเสิร์ฟอาหารให้เราก็สามารถสื่อสารภาษาไทยได้ด้วย



อาหารทะเลที่นี่สดและไซส์ใหญ่เบิ้มจริงๆ ค่ะ แถมเขายังมีการแล่ให้ดูสดๆ ด้วย แต่เราขอบายดีกว่า ขอเห็นเฉพาะที่ทำออกมาเสร็จเป็นอาหารเรียบร้อยก็พอแล้ว





จานแรกมาค่ะ กุ้งมังกร จะทานเป็นซาซิมิสดๆ จิ้มกับวาซาบุและโชยุก็เด้งดึ๋ง หรือจะทานแบบชาบูก็รสชาติดีเหมือนกัน ตัวใหญ่มาก ถ่ายได้ไม่หมดเลย


ตามด้วยกุ้งลวก เห็นตัวเล็กๆ แบบนี้แต่สดมากนะคะขอบอก ทานกับน้ำจิ้มซีฟู้ด แซบมากกกก



หอยเป๋าฮื้อผัดกับก้านกระเทียม (มั้ง) รสชาติโอเคค่ะ แต่สำหรับเรายังไม่ค่อยโดนเท่าไหร่



กั้งทอดกระเทียมพริกไทยค่ะ อร่อยดี เราเพิ่งเคยทานกั้งเป็นครั้งแรก เพราะปกติก็ทานแค่ญาติเขาอย่างเดียว



ตามมาติดๆ ด้วยหอยเชลล์ค่ะ ข้างบนจะเป็นวุ้นเส้นแล้วก็กระเทียมเจียว โรยต้นหอมอีกนิดหน่อย จริงๆ คือเขาให้ทานกับน้ำจิ้มนะคะ แต่เราเป็นพวกไม่ชอบทานน้ำจิ้ม ก็เลยมีความรู้สึกถึงรสชาติแบบหอยเชลล์นั่นแหละค่ะ แต่ความสดนี่ขอรับประกัน



จานต่อมาข้าวผัดทะเลค่ะ รสชาติอ่อนๆ เราชอบที่เขาผัดมาไม่มันจนเกินไป อร่อยดี ไม่เลี่ยนด้วย



จานนี้เป็นปลาเก๋านึ่งซีอิ๊วค่ะ เนื้อปลาสดและหวานมาก แต่ถ้าคนไม่ชอบทานปลาอาจจะบอกว่าคาว



สุดท้ายเป็นโจ๊กกุ้งมังกรที่เราทานเข้าไปเป็นจานแรกนั่นแหละค่ะ เขาเอาส่วนที่เราทานไม่ได้ อย่างเช่นส่วนหัว และส่วนหางไปต้มเป็นโจ๊กร้อนๆ มาให้เราทานกัน ก็อร่อยดีค่ะ ทานแล้วรู้สึกอบอุ่นถึงเครื่องในตับไตไส้พุงเลยล่ะ หลังจากนั้นพออิ่มแล้วพวกเราก็กลับโรงแรมนอนค่ะ เพราะกว่าจะทานอิ่ม กว่าจะนั่งรถกลับโรงแรมก็ดึกพอสมควรแล้ว



8 มีนาคม 61 วัดแชกงหมิว - วัดหวังต้าเซียน – ศาลเจ้าแม่กวนอิมเก่าแก่ ย่าน Hung Hom - วิคตอเรีย ฮาร์เบอร์- สนามบินฮ่องกง – กรุงเทพฯ

วันสุดท้ายของทริป เป็นวันที่อากาศหนาวที่สุดแล้วค่ะ แถมฝนยังตกปรอยๆ ตั้งแต่เช้าด้วย โดยสรุปคือวันนี้พวกเราแทบจะไม่เห็นแดดเลย

เช้าวันนี้เราเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมในเวลา 10.00 น. ค่ะ จากนั้นรถบัสคันใหญ่ก็มารับเราเพื่อไปสถานที่แรกของวัน นั่นก็คือ ไปทานอาหารเช้าที่ร้านโจ๊กชื่อดังในหมู่คนไทยที่ตั้งอยู่ในย่านจิมซาจุ่ย ซึ่งก็คือร้าน Hung Lee หรือที่คนไทยบางคนชอบรียกว่าร้านโจ๊กไม่ลองไม่รู้นั่นเองค่ะ



หลักๆ แล้วอาหารร้านนี้ก็คือโจ๊กนั่นแหละค่ะ แต่จะมีหลายแบบให้เลือกทาน แต่ที่ได้รับความนิยมมากๆ ก็น่าจะเป็นโจ๊กไข่เยี่ยวม้า (ซึ่งมีหมูก้อนในนั้นด้วย) แล้วก็โจ๊กเป๋าฮื้อ มื้อนี้เราสั่งโจ๊กไข่เยี่ยวม้าไปค่ะ ส่วนน้องๆ สั่งโจ๊กหมู ทานกับปาท่องโก๋ร้อนๆ (แต่ที่กลับไม่ร้อนแฮะ)





นอกจากเมนูโจ๊กแล้ว ร้านนี้เขาก็มีอาหารขึ้นชื่ออย่างอื่นอีกนะคะ อย่างเช่นจานนี้เป็นตับและเซี่ยงจี๊ลวก
ซึ่งไม่เหม็นคาวเลยค่ะ แถมยังเด้งๆ ในปากด้วย



ผักกวางตุ้งราดซอสน้ำมันหอย อันนี้คือเราตั้งใจสั่งมาเพราะอยากทานอะไรที่เป็นผักๆ บ้าง



บะหมี่เนื้อตุ๋น รสชาติเป็นยังไงเราไม่ทราบค่ะ เพราะแค่โจ๊กก็อิ่มแล้วเลยไม่ได้ลองชิม



เนื้อตุ๋นค่ะ จานนี้เราก็ไม่ได้ลองเช่นกัน แต่เห็นคนกินเขาบอกว่าอร่อยดี



เสร็จจากมื้อเช้า เราก็ไม่เสียเวลารอให้ท้องย่อยค่ะ เพราะวันนี้เราต้องไปเช็คอินและโหลดกระเป๋าให้ทันขึ้นเครื่องภายในเวลา 17.30 น. ดังนั้นจึงต้องรีบทำเวลาค่ะ เพราะวันนี้เรามีรายการต้องไปไหว้พระอีกถึง 3 วัดด้วยกัน

เริ่มที่วัดแรก วัดแชกงหมิว หรือที่คนไทยชอบเรียกว่าวัดกังหันลมนั่นแหละค่ะ วัดนี้ก็เป็นวัดที่ร่ำลือถึงความศักดิ์สิทธิ์ ว่ากังหันลมจะสามารถพัดพาเอาสิ่งไม่ดีออกไปจากชีวิตเราได้ และการหมุนกังหันกลับทิศ ก็จะช่วยหมุนชีวิตของเราให้พลิกผันจากร้ายกลายเป็นดีได้เช่นเดียวกัน



มาถึงก็ต้องบูชาธูปก่อนค่ะ ในราคาชุดเล็กสุดคือ 48 เหรียญฯ เขาก็จะมีเป็นชุดให้ตามนี้เลย



เราก็นำธูปไปให้เจ้าหน้าที่จุดให้ที่ลานกว้างตรงนี้ ส่วนกระดาษสีแดงนั้นคือใบใบสะเดาะเคราะห์ค่ะ ทำให้เกิดสิริมงคล ปัดเป่าเรื่องร้ายๆ ออกไป เราก็เขียนชื่อ-นามสกุลลงไป แต่สำหรับเราเรื่องมันไม่จบเพียงแค่นี้สิคะ คือเราเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า เราควรเขียนชื่อเป็นภาษาอะไรดี เพราะถ้าภาษาจีนนี่คือเราไม่ได้เลย มองหาไกด์ก็ไม่เจอ สุดท้ายเลยเขียนเป็นภาษาอังกฤษค่ะ แต่ตอนอธิษฐาน ดันพูดภาษาไทย เออ.. รู้สึกแบบเป็นอะไรที่ Global ดีนะ



สำหรับวิธีการคาราวะขอพรนะคะ เริ่มต้นก็คือให้เราหันหน้าออกมาทางหน้าวัด เพื่อไหว้ฟ้าดินก่อนค่ะ แล้วก็บอกชื่อ-นามสกุล และวัตถุประสงค์ที่มาทำบุญที่วัดในครั้งนี้ด้วย จากนั้นก็นำธูปไปปักที่กระถาง



ส่วนภายในศาลาจะเป็นที่ตั้งของท่านแชกงค่ะ เวลาที่เราจะขอพรจากท่าน ไกด์แนะนำว่าให้เราเงยหน้าขึ้นสบตาท่านตลอดเวลาค่ะ แล้วก็ให้เรียกท่าน “แชกงเหย่เหย” เสียงต่ำนะคะ ได้ยินเสียงบางคนพูด “แชกงเย้เย้” อันนี้คือไม่ถูกต้องค่ะ เป็นการแสดงความดีใจอะไรไปซะงั้น จากนั้นก็แจ้งชื่อ-นามสกุลของเรา พร้อมกับขอพรจากท่านได้เลยค่ะ





หลังจากไหว้พระขอพรเสร็จ เราก็ไปหมุนกังหังลมต่อค่ะ ตอนแรกจินตนาการว่าคงเป็นกังหันที่ใหญ่เบิ้ม แต่เปล่าจ้าาา ไซส์ปกตินี่แหละค่ะ จากนั้นเราก็เดินสำรวจรอบๆ บริเวณวัดค่ะ ส่วนใหญ่ก็จะมีรูปปั้นเทพต่างๆ แล้วก็กังหันลมที่เดาว่าน่าจะเป็นคนทั่วๆ ไปนี่แหละนำมาเซ่นไหว้ หรือแก้บนหรือเปล่า อ้อ.. มาที่นี่อย่าลืมเช่าเครื่องรางกลับบ้านนะคะ เป็นกังหันลม แต่ควรทำพิธีเสียก่อน เพื่อเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ค่ะ (โปรดใช้วิจารญาณในการอ่าน)








วัดที่ 2 ของวันสุดท้าย วัดหวังต้าเซียน หรือวัดหว่องไท่ซินนั่นเองค่ะ ตั้งอยู่ท่ามกลางตึกสูงระฟ้าเลย แถมยังเป็นย่านที่อยู่อาศัยอีกต่างหาก ทำให้วัดแห่งนี้พยายามรณรงค์ในเรื่องของการจุดธูปค่ะ เพราะควันธูปอาจจะไปรบกวนชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถบนี้ได้ สำหรับเรามีความรู้สึกว่า แม้วัดแห่งนี้จะตั้งอยู่ใจกลางเมืองเลย แต่เรื่องความสวยงามของสถาปัตยกรรมนับตั้งแต่ซุ้มประตูขนาดใหญ่ที่ได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิเต๋า ศาสนาพุทธ และลัทธิขงจื้อ บวกความขลังนี่ต้องยกนิ้วให้เลยค่ะ



มาถึงหน้าประตูวัด สิ่งแรกที่ต้อนรับเราก็คือรูปปั้นตัวปี่เซียะนี้ค่ะ อย่าลืมลูบเล่นกับเขาก่อนเข้าวัดนะคะแล้วคุณจะโชคดี แต่ไกด์บอกว่าอย่าลูบหนวด (เพราะอะไร อันนี้เราจำไม่ได้ ต้องขอโทษด้วยค่ะ)



ซุ้มประตูที่นี่อลังการงานสร้างมาก มีอายุกว่าร้อยปีแล้วค่ะ วัดแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นวัดที่ใครมาขอพรอะไร ก็จะสมปรารถนาไปเสียทุกประการ ดังนั้นจึงมีผู้คนทั้งชาวไทย และชาวจีนแผ่นดินใหญ่แวะมาไหว้ขอพรอย่างเนืองแน่นอยู่ตลอดค่ะ





หลังจากเข้ามาภายในวัด จุดแรกที่เราจะต้องสักการะขอพรก็คือเทพเจ้าหวังต้าเซียนค่ะ ส่วนใหญ่คนที่มาที่นี่ก็มักจะขอพรในเรื่องของสุขภาพพลานามัย จะเป็นของเราหรือคนที่เรารักก็ได้นะคะ



ที่ลานด้านในวัด หน้าศาลเจ้าตรงนี้จะมีแท่นสีแดงให้นั่งคุกเข่ากราบไหว้และขอพรด้วยค่ะ ส่วนด้านบนก็จะมีการประดับโคมลอยสวยๆ เอาไว้ นอกจากคนส่วนใหญ่จะมาขอพรแล้ว ยังชอบมาเสี่ยงเซียมซีด้วยค่ะ ได้ยินมาว่าแม่นมาก แต่จะมีคำแปลเฉพาะภาษาจีนและภาษาอังกฤษนะคะ ซึ่งเราไม่ได้เสี่ยงเซียมซีค่ะ


อีก 2 จุดที่เราจะต้องไปกราบไหว้ขอพรก็คือ เจ้าแม่กวนอิม กับศาลท่านเจ้าที่ค่ะ


และที่สุดท้ายคือจุดไฮไลท์ที่หลายๆ คนที่ร่วมทริปมาด้วยกันรอคอยค่ะ แถมยังเป็นจุดยอดนิยมสุดๆ อีกต่างหาก ว่ากันว่าเรื่องของความรักนั้น "หากไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ ก็เอาด้วยคาถา" ค่ะ เพราะฉะนั้นท่านเทพเจ้าหยุคโหลว หรือเทพแห่งความรักจึงกลายเป็นที่พึ่งทั้งของคนที่มีคู่และยังไม่มีคู่เป็นอย่างดี



เทพเจ้าหยุคโหลว หรือบางคนก็รู้จักท่านในนามเทพเจ้าแห่งจันทรา ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความรักค่ะ เชื่อกันว่าสมุดที่ท่านถือนั้นเป็นสมุดรายชื่อคู่รักที่จะได้รับคำอวยพรให้อยู่คู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข จุดนี้สำหรับคนที่มีคู่แล้วมักจะเอาด้ายแดงไปผูกไว้ที่ท่าน เพื่อให้ครองรักกันอย่างมีความสุขสืบไปค่ะ





ส่วนคุณผู้หญิงท่านไหนที่ยังไม่มีคู่และอยากมีคู่นะคะ สำหรับวิธีการไหว้ขอความรักก็คือ ให้ไหว้ที่องค์เทพหยุคโหลวที่อยู่ตรงกลาง 3 ครั้งค่ะ จากนั้นก็เดินไปที่รูปปั้นเจ้าบ่าว ลูบเท้าเจ้าบ่าว 3 ครั้ง แล้วก็นำด้ายแดงไปผูกไว้ที่เชือกสีแดงเส้นใหญ่ฝั่งเจ้าบ่าวค่ะ




ส่วนคุณผู้ชายก็เช่นเดียวกันค่ะ หากคุณยังไม่มีคู่ และคิดว่าถึงเวลาของการมีคู่เสียที ให้ไหว้ที่องค์เทพหยุคโหลวที่อยู่ตรงกลาง 3 ครั้งค่ะ จากนั้นก็เดินไปที่รูปปั้นเจ้าสาว ลูบเท้าเจ้าสาว 3 ครั้ง แล้วก็นำด้ายแดงไปผูกไว้ที่เชือกสีแดงเส้นใหญ่ฝั่งเจ้าสาวค่ะ



และสุดท้ายสำหรับคนที่มีความคิดว่า “ความรักไม่มีเพศ” เพราะฉะนั้นคุณจะรักใครก็ได้ แม้ว่าจะเป็นเพศเดียวกันกับคุณก็ตาม คุณก็สามารถไหว้ท่านเทพยุคโหลว แล้วก็เดินไปลูบเท้ารูปปั้นเพศเดียวกับคุณ 3 ครั้ง แล้วก็นำด้ายแดงไปผูกไว้บนจุดนั้นได้เช่นกันค่ะ อิอิ







นอกจากเทพเจ้าหลักๆ ทั้ง 4 รวมถึงท่านขงจื้อที่คนส่วนใหญ่นิยมมาไหว้ขอพรแล้ว ในบริเวณรอบนอกยังมีรูปปั้นของเทพเจ้าอื่นๆ อีกมากมายค่ะ แต่โดดเด่นที่สุดก็เห็นจะเป็นเทพซึ่งเป็นตัวแทนของนักษัตรทั้ง 12 ราศีนี้แหละค่ะ



ชวด (หนู)



ฉลู (วัว)



ขาล (เสือ)



เถาะ (กระต่าย)



มะโรง (มังกร)



มะเส็ง (งู)



มะเมีย (ม้า)



มะแม (แพะ)



วอก (ลิง)



ระกา (ไก่)



จอ (สุนัข)



กุน (หมู)

ตอนนี้ฝนเริ่มลงเม็ดแล้วค่ะ พวกเรารีบวิ่งไปขึ้นรสบัสที่รออยู่บริเวณลานจอดรถด้านข้างเพื่อเดินทางต่อไปยังศาลเจ้าแม่กวนอิมเก่าแก่ของฮ่องกง ณ ย่าน Hung Hom เพราะตอนนี้เวลาก็ย่างเข้าเกือบบ่าย 4 โมงแล้ว



เราใช้เวลาประมาณ 20 นาทีก็ถึงที่หมายแล้วค่ะ ที่นี่เป็นศาลเจ้าเล็กๆ ที่มีคนมาขอพรเยอะพอสมควร ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเป็นชาวจีนนั่นแหละ แต่จะเป็นจีนฮ่องกงหรือจีนแผ่นดินใหญ่ เราไม่สามารถแยกภาษาจีนกลางกับกวางตุ้งออกจริงๆ โดยจุดประสงค์ที่คนส่วนใหญ่มาที่นี่ก็คือ การมาไหว้ขอพรองค์เจ้าแม่กวนอิมค่ะ ซึ่งมีชื่อเสียงทางด้านการให้กู้เงินค่ะ ใครอยากเปิดกิจการ หรือต้องการเงินไปต่อยอดกิจการใดๆ ก็แล้วแต่ ต้องมาที่นี่ค่ะ



สำหรับวิธีการขอพรนะคะ เจ้าหน้าที่ก็จะเป็นคนจุดธูปให้เราค่ะ เราก็รับธูปมา จากนั้นก็หันหน้าออกนอกวัดเพื่อไหว้ฟ้าดิน 3 รอบค่ะ ก่อนจะหันมาหาเจ้าแม่กวนอิม และอธิฐานขอพรขอกู้เงินจากท่านได้เลย ว่าจะเอาเท่าไหร่ (ที่สามารถเป็นจริงได้) จากนั้นเจ้าหน้าที่จะแจกซองอังเปาสีแดงให้เราค่ะ ก็เก็บซองนั่นแหละใส่กระเป๋าตังค์ไว้ ส่วนผลของการอธิษฐานหากสำเร็จตามที่คุณได้ขอไว้ ก็ค่อยกลับมาทำบุญใช้ท่าน แต่ถ้าจะให้ดี ไกด์แนะนำว่าควรมาไหว้ติดต่อกันอย่างน้อย 3 ปีค่ะ



บรรยากาศภายในศาลเจ้าค่ะ ถึงจะเล็กแต่ก็ดูขลังมาก







จบแล้วค่ะสำหรับทริปสายบุญ กับการตระเวนไหว้พระ 10 แห่งของเรา (เกิน 9 มานิดหน่อย) คือที่มาเก๊า 5 จุด และที่ฮ่องกงอีก 5 จุดเช่นกันค่ะ (แต่บางจุดก็ไม่ได้เข้าไปในวัดนะเออ) พอออกจากศาลเจ้า ก็มาเจอความสดใสตะมุตะมิของน้องหมา 2 ตัวนี้ แอร๊ยยย แทบอยากขโมยกลับบ้าน




สำหรับวันนี้ก่อนที่จะเดินทางกลับกรุงเทพมหานครโดยสายการบินไทยเช่นเดิม เราก็ได้แวะไปช้อปปิ้งอีกนิดหน่อยแถวๆ วิคตอเรีย ฮาร์เบอร์ และทานข้าวหน้าเนื้อกับนายก่อนจะเดินทางไปที่สนามบินฮ่องกง ซึ่งเราไม่ได้เก็บภาพกลับมานะคะ เพราะเริ่มง่วงแล้ว 555



สุดท้ายก็ขอบคุณเจ้านายที่รักทุกท่านนะคะที่ทำให้ทริปนี้เป็นอีกหนึ่งทริปที่น่าจดจำ (จะจบแล้ว งานอวยของเราต้องไม่พลาด อิอิ) แล้วก็ขอบคุณสำหรับคนอ่านที่รอคอยตอนที่ 2 มายาวนานนะคะ

สำหรับทริปหน้าในช่วงที่เราหายไปนั้น เราไปเกาหลีมาค่ะ เป็นทริปคนจน ชิลล์ๆ ซึ่งแตกต่างอย่างสุดขั้วกับทริปนี้ ซึ่งเราจะรีบมารีวิวให้ดูกันค่ะ และก็ขอฝาก Facebook Fanpage ของเราด้วยนะคะ
www.facebook.com/ContentMarketingStory

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ข้อมูลจาก Content Marketing Story @Am2b Marketing