
จากกระทู้ที่แล้ว เราได้ใช้ชีวิตวนเวียนอยู่บนเกาะมาเก๊ามาแล้วถึง 3 วัน 3 คืน
ทริปสายบุญมาเก๊า-ฮ่องกง กินหรู อยู่สบาย เจ้านายที่รักจ่ายตลอดทริป (ตอนที่ 1)
https://pantip.com/topic/37459347
ตอนนี้เรากลับมาแล้วค่ะ ขอโทษที่ใช้เวลาในการเขียนนานไปหน่อย เพราะช่วงนี้งานค่อนข้างแน่นค่ะ แล้วก็เราเพิ่งกลับมาจากเกาหลีใต้ด้วย ยังไงจะมารีวิวการเที่ยวเกาหลีของเราในโอกาสต่อไปนะคะ
6 มีนาคม 61 มาเก๊า - ฮ่องกง - ตึก ICC - วัดเจ้าแม่กวนอิมทินหัว อ่าวรีพัลส์เบย์ - มงก๊ก
เช้าวันนี้ก็ถึงเวลาที่พวกเราต้องโบกมือลาลาสเวกัสแห่งโลกตะวันออก เพื่อเดินทางสู่จุดหมายปลายทางต่อไปของเรากันแล้ว วันนี้เรารีบตื่นขึ้นมาอาบน้ำคัดเบ้าตั้งแต่ตี 5 ครึ่งเพราะคิดว่าจะรีบไปหาที่ช้อปปิ้งในช่วงเช้า ละลายเงินมาเก๊าที่ได้รับทอนมาให้หมด

เพื่อนๆ ห้องอื่นเค้ายังไม่ตื่นกัน แต่ฉันพร้อมแล้วสำหรับการไปช้อปปิ้งในเช้าวันนี้ โฮะๆๆๆ แต่หลังจากนั้นไม่ถึง 30 นาที เราก็ต้องกลับขึ้นมาที่ห้องอีกรอบหนึ่ง เพราะร้านค้าภายในบริเวณโรงแรมยังมิทันเปิดเลย จะเดินออกไปข้างนอกหมอกก็ลงหนา เลยต้องกลับมาตั้งหลักอีกรอบซะก่อน

07.30 น. ได้เวลาออกไปสำรวจนอกโรงแรมแล้ว แต่... จะไปที่ไหนอ่ะ เดินวนไปมา 2 รอบ สุดท้ายเลยตัดสินใจข้ามถนนไปยังฝั่งเวเนเชี่ยน ส่วนใหญ่ร้านค้าจะเปิดช่วง 10.00 น. ค่ะ แต่เราต้องรีบเช็คเอ้าท์เพื่อไปขึ้นเรือในช่วง 09.00 น. ก็เลยได้ขนมในมินิมาร์ทที่เปิดให้บริการในเวเนเชี่ยนกลับมาเป็นของฝากที่บ้านในที่สุด

เกือบ 10 นาฬิกาก็ได้เวลาที่ล้อหมุนไปยังท่าเรือเพื่อข้ามไปยังฝั่งเกาลูน เรายังคงอาศัยเรือ TURBoJET ชั้น Super Class เหมือนเดิมค่ะ โดยเรือจะออกจากมาเก๊าในเวลา 11.05 รอไม่นานก็ได้เวลาผ่าน ตม. ไปขึ้นเรือแล้ว




บ๊ายยยบายมาเก๊า... รอบนี้อาหารบนเรือใช้ได้กว่ารอบขามา แต่ดันลืมถ่ายรูปซะงั้น แต่อาหารก็คล้ายๆ กับตอนขามานั่นแหละค่ะ แต่จะเปลี่ยนไปก็แค่สลัดกุ้ง และขนมปังที่นิ่มขึ้น (แต่เรายกให้น้องอีกคน)
ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก็มาถึงฝั่งฮ่องกง ซึ่งนี่ก็เป็นครั้งที่ 2 ของเราในการมาเยือนที่นี่อย่างเป็นทางการ ถ้าไม่นับรวมตอนที่เครื่องบินมาลงที่สนามบินเช็กแล็บก็อกนะ หลังจากลงเรือแล้วเราก็เดินขึ้นบันไดเลื่อนเพื่อไปยังจุด Immigration ค่ะ ในใจของเราคือชิลล์มาก เดินเข้าแถวไปเป็นคนแรกเลยจ้า
แต่ปรากฏว่า ตม. ค่ะ ไม่รู้ว่าเกิดความสงสัยอันใดขึ้นมา ก็ถามเราว่ามากันทั้งหมดกี่คน ตอนนั้นคือรู้ว่ามาสามสิบกว่าคน แต่ไอ้คำว่า “สามสิบกว่าคน” นี่ภาษาอังกฤษมันต้องพูดไงหว่า... สุดท้ายเลยตอบไปมั่วๆ ว่ามากัน 34 คน (ซึ่งเป็นจำนวนที่ใช่จริงๆ) เราก็ชี้ๆ แถวที่มาด้วยกันนั่นแหละค่ะ ก็บอกเนี่ยมาด้วยกันหมดเลย สักพักก็มี ตม. ผู้ชายอีกคนเดินมาพูดอะไรก็ไม่รู้ (ภาษาจีน) แล้วก็ชี้มือชี้ไม้มาที่กลุ่มพวกเรา
สรุปเรารอดค่ะ และทั้งกรุ๊ปนอกจากผู้ชายแล้ว มีผู้หญิงที่รอดชีวิตออกมาเพียงแค่ 4 คนเท่านั้น ส่วนที่เหลืออีก 10 ชีวิตถูกเชิญไปอีกทางหนึ่ง โดยที่เจ้าหน้าที่เดินมาชี้ตัวสุ่มๆ ไปเลย
พวกเราก็มารอรับกระเป๋าแล้วก็รอสักพักค่ะ ไกด์ท้องถิ่น (เป็นชายไทย ไม่ทราบนามสกุล ทราบแต่ชื่อเล่น) เดินมาหาแล้วบอกรถมารอรับแล้ว ให้ขึ้นรถไปรอก่อน เราก็รอไปค่ะ ประมาณเกือบๆ ครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ สาวๆ ทั้งหมดก็ถูกปล่อยออกมา เป็นอันว่าโล่ง!!! (ช่วงนี้ลืมถ่ายร่งถ่ายรูปไปแล้ว มัวแต่ลุ้น)
หลังจากสมาชิกครบแก๊ง ซึ่งขณะนั้นก็เป็นเวลาเกือบบ่ายโมงแล้ว ท้องเริ่มร้องเรียกหาอาหาร ส่งเสียงคำรามฮึ่มฮั่มๆ เป็นระยะ นายบอกเดี๋ยวจะพาไปทานมื้อพิเศษ ร้านนี้จองยากมากกกก อ่าจ้า ตอนนี้หากมีอะไรบินผ่านหน้า หนูก็สามารถทานได้หมดค่ะนาย

ไม่นาน รถบัสคันใหญ่ก็พาเราขับวนขึ้นไปหน้าล็อบบี้ชั้น 9 ของตึก ICC มื้อแรกของฮ่องกงวันนี้เราจะมาทานติ่มซำกันที่ Tin Lung Heen ภัตตาคารอาหารจีนสุดหรูชั้นเลิศที่การันตีโดย 2 ดาวมิชลินสตาร์ที่ตั้งอยู่บนชั้น 102 ของตึกค่ะ ไปกันโลด...




ใช้เวลาขึ้นลิฟท์ไม่กี่อึดใจ ก็มาถึงหน้าร้านแล้ว การตกแต่งที่นี่โอเคใช้ได้ หรูหราดูดีเลยทีเดียว แถมวิวก็ถือว่าเริดเลยทีเดียว แต่น่าเสียดายนิดหน่อยที่วันนี้ค่อนข้างมีหมอกหนาไปสักนิด เลยมองไม่ค่อยเห็นอะไรสักเท่าไหร่



วิวเมืองจากชั้น 102 วันนี้หมอกค่อนข้างหนาค่ะ แต่นั่งทานข้าวไปสักพักใหญ่ๆ หมอกก็ค่อยๆ จางลงนิดหน่อย เราเลยสามารถเก็บภาพที่ (พอจะ) ชัดบ้างมาได้แค่นี้


ส่วนบรรยากาศภายในภัตตาคารก็จะตกแต่งแบบเรียบหรูดูดี ด้วยโทนสีที่ค่อนข้างให้ความอบอุ่นค่ะ ซึ่งห้องที่นายจองไว้จะเป็นห้องส่วนตัว แบ่งออกเป็น 3 โต๊ะใหญ่ เพราะพวกเรามีกันหลายคน

นั่งรอที่โต๊ะสักพัก อาเล่ย (ชื่อบริกรที่พวกเราแอบตั้งให้) ก็มาเสิร์ฟชาเป็นอย่างแรก ไม่รู้ว่าเป็นชาอะไร แต่มีกลิ่นหอมและรสดีมาก ส่วนอาเล่ยเป็นบริกรที่ใส่ใจลูกค้าดีเลิศเลยล่ะค่ะ เพราะเธอไม่เคยปล่อยให้ชาพร่องเลยแม้แต่น้อย เติมเต็มตลอด เราก็ดื่มซะท้องป่องยังกะท้องสาววัย 5 เดือนแน่ะ

อาหารจานแรกที่อาเล่ยนำมาเสิร์ฟ เป็นฮะเก๋ากุ้งโปะหน้าด้วยทองคำเปลวค่ะ กุ้งตัวใหญ่เต็มปากเต็มคำดีมาก

ตามมาด้วยขนมปังหน้ากุ้งที่ไม่เลี่ยนเลย ทานกับซอสพริกเข้ากันดี๊ดี

ขนมจีบหมู จานนี้ต้องมาค่ะ เต็มปากเต็มคำ ชุ่มฉ่ำสุดๆ

จานนี้คล้ายๆ ข้าวเกรียบปากหม้อบ้านเราค่ะ 555 ไม่รู้เขาเรียกว่าอะไรเหมือนกันนะคะ ข้างในจะเป็นไส้กุ้ง ส่วนน้ำราดจะออกรสเปรี้ยวนิดๆ เผ็ดหน่อยๆ

ส่วนจานนี้ ก็ยังคงคอนเซ็ปต์ข้าวเกรียบปากหม้อบ้านเรา (เหมือนเดิม) ค่ะ แต่เพิ่มเติมคือข้างในจะเป็นไส้หมูแดง และรสชาติจะอ่อนกว่าจานข้างบน


จานนี้ตอนที่เห็นอาเล่ยยกมาเสิร์ฟเราคิดว่าเป็นขนมปังค่ะ แต่ไม่ใช่แฮะ มันเหมือนกับซาลาเปาอบมากกว่า เพราะผิวสัมผัสข้างนอกมันจะไม่เหมือนกับซาลาเปาทอด มันจะกรอบๆ เหมือนขนมปัง แถมยังไม่มันด้วย ส่วนไส้ข้างในเป็นหมูแดง จานนี้เราชอบมาก

เมนูที่ขาดไม่ได้ กรุบกรอบกว่าทุกร้านที่ผ่านมา

เมนูหนักท้อง ข้าวผัดกุ้งกับหมูแดง รสชาติอ่อนๆ อร่อยดี เนื้อกุ้งก็เด้งดึ๋งๆ ในปากในลิ้น

ผัดเปรี้ยวหวาน (อีกแล้ว) น่าจะเป็นเมนูยอดนิยมของคนจีนรึเปล่า มีแทบทุกครั้ง เราชิมไปคำเดียว ออกรสหวานนำ เปรี้ยวตามนิดๆ สรุปคือไม่ใช่แนว 555

จานนี้เราชอบมากกกก เป็นขนมปังขิงทานคู่กับหอยเชลล์ย่างค่ะ หอยเหนียวนุ่มเต็มคำดี เข้ากั๊นเข้ากันกับขนมปังขิงและซอสหอมที่ราดคู่กันมาที่เค็มนิดๆ

Recommended ของทางร้านเค้าล่ะ เป็นเนื้อวากิวผัดซอสกับกระเทียมค่ะ ใครไม่ทานเนื้อนี่ขอบอกเลยว่าเสียดายแทน เพราะเนื้อนุ่มมากกก แทบไม่ต้องเคี้ยว มันเหมือนละลายในปากได้เลย

และสุดท้าย ของหวานล้างปากเป็นเค้กชาเขียวรสชาติเข้มข้นค่ะ (แต่เราไม่ได้ชิมนะ)


หลังจากอิ่มท้องแล้ว พวกเราก็ลงมารอรถบัสอยู่ภายในบริเวณล็อบบี้ชั้น 9 เนื่องจากอากาศเย็นมากกก ลมก็แรงกมากด้วย


สำหรับจุดหมายป้ายต่อไปของเราก็คือที่นี่เลยจ้า “วัดเจ้าแม่กวนอิมทินหัว อ่าวรีพัลส์เบย์” ซึ่งวันนี้ก็มีทัวร์จีน ซึ่งส่วนใหญ่มีเชื้อสายมาจากราชวงศ์ชิงค่อนข้างเยอะเหมือนกัน...แ_’ง ชิงมังแทบทุกที่ทุกจุดเลย

ก่อนจะเดินเข้าวัด หันไปจ๊ะเอ๋กับน้องหมาตัวนี้เลยแวะทักทายน้องนิดหน่อย น้องเชื่องมากกก เก๊กหน้าหล่อให้พี่สาวแชะภาพด้วย น่าร้ากกกก


จากนั้นก็เดินเข้าไปวัดไปเลยจ้า แต่เดี๋ยวก่อน!! สิ่งสำคัญที่ต้องไม่ลืมก็คือ เราต้องเดินเข้าวัดด้วยเท้าซ้าย ส่วนเวลาเดินออกก็ต้องก้าวเท้าขวานำค่ะ พอเข้าไปแล้วเราก็จะเจอเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าทางเข้าวัดเลยค่ะ แต่ก่อนที่ไหว้สักการะท่าน คุณจะสังเกตเห็นรูปปั้นสิงโตโตหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางด้านขวาของประตูทางเข้า ซึ่งในปากจะคาบลูกแก้วเอาไว้ เราก็จัดการลูบลูกแก้วในปากสิงโตเลยค่ะเป็นการเสริมดวงให้มีแต่ความโชคดี ทำอะไรก็เป็นเงินเป็นทอง มีแต่โชคลาภเข้ามาหาตัวเอง ประมาณนั้น จากนั้นจึงค่อยไหว้ขอพรเจ้าแม่กวนอิมเป็นลำดับต่อไป


ส่วนด้านขวามือขององค์เจ้าแม่กวนอิม ก็จะเป็นที่ตั้งของเจ้าแม่ทับทิม ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งท้องทะเล เราก็สามารถขอพรองค์ท่านเพื่อมอบพลังให้เราในการทำกิจการค้าขายได้ด้วยค่ะ



ตอนนี้เราก็เก็บภาพไปเรื่อยๆ พร้อมกับขอพรองค์เทพต่างๆ ไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการไหว้ขอพรโชคลาภจากเทพเจ้าไฉ่ซิงยิ้ม ซึ่งตั้งอยู่บริเวณด้านหน้ารูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่


ไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้เช่นเดียวกัน ภาพแรกคือพระสังกัจจายน์ค่ะ คู่แต่งงานที่ยังไม่มีลูกแล้วอยากมีลูกก็สามารถมาขอพรแล้วก็ลูบไปที่ท้องท่านได้ หรือถ้าคนโสดก็สามารถขอให้การเงินอุดมสมบูรณ์ได้เช่นเดียวกัน ส่วนภาพต่อมาเป็นเซียนปลาค่ะ เวลาขอพรก็ให้เราเขียนชื่อ-นามสกุล เลขที่บัญชี แล้วก็จำนวนเงินที่ต้องการลงบนสมุดข่อยของท่านได้ค่ะ (แต่ขอในสิ่งที่เป็นไปได้นะคะ)


สะพานอายุยืน เชื่อว่าหากเดินข้ามไปจะมีอายุยืนขึ้นไปอีก 3 ปีค่ะ โดยก้าวเท้าซ้ายเดินนำขึ้นสะพานข้ามไปยังอีกฝั่ง หลังจากนั้นขากลับห้ามข้ามสะพานกลับมาเด็ดขาด ให้เดินบนเส้นทางอื่นแทน เพราะไม่งั้นจะอายุสั้นลงนะจ๊ะ

จุดนี้เป็นจุดที่ทั้งนักท่องเที่ยวไทย-จีน โยนเหรียญเสี่ยงทางกันสนุกเค้าล่ะ โดยไกด์บอกว่าถ้าเราโยนเหรียญเข้าปากของปลาได้ คำอธิษฐานที่ขอพรไว้กับเจ้าแม่กวนอิมก็จะเป็นจริงดั่งใจปรารถนาค่ะ เราลองแล้วหลายรอบแต่ไม่สำเร็จ แต่ถึงอย่างนั้นศรัทธาของเราที่มีต่อเจ้าแม่กวนอิมก็ยังคงมีอยู่เหมือนเดิมนะ



เดินถ่ายภาพไปเรื่อยๆ มืดบ้าง สว่างบ้าง มันก็คงเหมือนชีวิตคนเราอ่ะนะคะ ต้องมีสว่างบ้าง มืดบ้าง แต่สุดท้ายทุกอย่างมันก็ต้องมีทางออกอยู่ดี (แน่ะ ปรัชญาสุดๆ)


สำหรับใครที่อยากเอาความโชคร้าย ความเจ็บปวด อกหักรักคุดโยนลงทะเลไปก็มาที่ศาลาตรงนี้เลยค่ะ จากนั้นก็หันหน้าออกทะเล แล้วก็อธิษฐานพร้อมโยนสิ่งที่เลวร้ายลงไปในทะเลซะ แล้วก็หันหลังกลับมาไหว้แท่นสีแดงที่อยู่ตรงหน้า พร้อมกับวาดเป็นรูปเลข 8 เพื่อนำความโชคดีมาแทนที่ค่ะ






ตอนนี้ฝนเริ่มลงเม็ดแล้ว เห็นทีคงได้เวลาที่พวกเราจะไปเช็คอินเข้าโรงแรมแล้วล่ะค่ะ ซึ่ง 2 คืนนับจากนี้ไป เราจะเข้าพักกันที่ InterContinental Hong Kong โรงแรมหรูระดับห้าดาวที่ตั้งอยู่ริมอ่าววิคตอเรียนั่นเองค่ะ





เปิดประตูเข้าไปแทบเป็นลม ห้องพักหรูมากกก (แบบว่าพักโรงแรมหรูในต่างประเทศ ซึ่งไม่ได้จ่ายตังค์เอง เลยแบบตื่นเต้น ประมาณนั้น 555) นายใจดีจองให้พวกเราเป็นห้องที่เห็นวิวริมน้ำทั้งหมดเลยค่ะ ห้องนี้เราพักกัน 3 คน มีอุปกรณ์และเครื่องใช้ที่ครบครันมาก ทั้งโทรศัพท์มือถือ+ไวไฟที่เราสามารถพกออกไปใช้ข้างนอกได้ อะแดปเตอร์ เครื่องเสียง ผลไม้ และอื่นๆ อีกมากมายค่ะ



ห้องน้ำก็กว้างมาก ถูกแยกออกเป็นสัดส่วนอย่างลงตัว ทั้งในส่วนของห้องอาบน้ำ อ่างอาบน้ำที่ใหญ่เบิ้ม และห้องที่เปิดประตูเข้าไปเป็นส่วนของชักโครก จริงๆ อยากถ่ายภาพให้เยอะกว่านี้และชัดกว่านี้นะคะ แต่หันไปเห็นน้องๆ 2 คนนอนกองแบบหมดเรี่ยวแรงอยู่หน้าประตู เราเลยเลิกถ่ายดีกว่า สงสารเด็กๆ 555
ต่อนี้ไปก็เป็นการตัดสินใจแล้วล่ะค่ะว่าจะไปเดินช้อปแถวอ่าววิคตอเรียและกินข้าวกับนาย หรือต้องการเวลาอิสระสำหรับการไปไหนก็ได้ดีกว่า ซึ่งแน่นอนเราเลือกอย่างหลังค่ะ 5555 เพราะราตรีนี้ของพวกเรามีเป้าหมายอยู่ที่ย่านมงก๊กนั่นเอง




ถึงนาทีนี้อย่างรอช้า รีบเดินฝ่าลมหนาวไปที่สถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุดกันเลย



จากสถานี Tsim Sha Tsui ใช้เวลาไปที่สถานี Mong Kok ไม่นานเลยค่ะ เราซื้อตั๋วแบบเที่ยวเดียวในราคา 6 เหรียญฯ





ถึงแล้วค่ะ ไปช้อปปิ้งกันเหอะ ถ้าพูดถึงมงก๊กแน่นอนค่ะว่าเราต้องคิดถึงรองเท้าเป็นอย่างแรก ใช่เลย วันนี้เราจะมาช้อปปิ้งรองเท้ากัน แต่ก่อนอื่นขอแวะดูของอย่างอื่นก่อนดีกว่า ที่นี่ดูดีๆ ก็คล้ายๆ สำเพ็งบ้านเราเหมือนกันนะ แถมร้านค้าเรายังสามารถต่อราคาได้มากกว่าครึ่งเลย




จากนั้นก็แวะทานข้าวที่นั่นเลย สรุปคืนนั้นได้รองเท้ากันไปคนละคู่สองคู่ แต่ของเรายังไม่โดน เลยอดไปตามระเบียบค่ะ
7 มีนาคม 61 กระเช้านองปิง - พระใหญ่ลันเตา - วัดเจ้าแม่กวนอิมพันมือ - ดิสนีย์แลนด์ - หมู่บ้านชาวประมง Lei Yue Mun



เช้าวันที่ 2 บนเกาะฮ่องกง อาจจะเพราะความเหน็ดเหนื่อยที่สะสม เลยทำให้การตื่นเช้าอันเป็นกิจวัตรประจำวันของช่วงเวลาที่ผ่านมาเริ่มเปลี่ยนไป วันนี้นาฬิกาปลุกตั้งไว้ 3 รอบยังไม่ยอมตื่นกัน แต่เนื่องจากวันนี้นายนัดพบที่ล็อบบี้ช่วง 9 โมงเช้า สุดท้ายก็เลยต้องลุกขึ้นมาอาบน้ำ แต่งหน้าแต่งตาให้ดูสดใสรับเช้าวันใหม่อันเหน็บหนาวกว่าทุกวัน
พอถึงเวลารถทัวร์คันใหญ่ก็มารับเราตรงเวลาเป๊ะ แต่คนไปกลับไม่เป๊ะเหมือนรถที่มารับ 5555 ปลายทางที่แรกสำหรับวันนี้เราเริ่มกันที่กระเช้านองปิง นักท่องเที่ยวมาต่อแถวรอขึ้นกระเช้าเยอะมากกกก ส่วนใหญ่เป็นฝรั่ง โชคดีที่ของเราไกด์จัดการจองตั๋วไว้ให้แล้ว เลยไม่ต้องไปเข้าแถวรอซื้อตั๋ว


เอาล่ะนะ ได้เวลาที่พวกเราเหล่าคาเมนไรเดอร์พร้อมออกปฏิบัติการแล้ว เฮนชิน V 1... สู้ว้อย!!

วันนี้เราจะนั่งกระเช้าคริสตัลค่ะ ชอบเลยแบบนี้ (เมื่อก่อนเราเคยกลัวความสูงนะ แต่ตอนนี้คือชอบค่ะ รู้สึกอะดรีนาลีนมันสูบฉีดเต็มที่) สนุกเขาเลยล่ะ จาก 8 คนที่อยู่ในกระเช้าเดียวกัน มีแค่ 2-3 คนเท่านั้นที่กลัวความสูง


ก้มลงมองข้างล่างเห็นคนกำลังเดินไปด้วย นับถือจริงๆ ค่ะ


สนุกอ่ะ ชอบมากกก อยากนั่งไปนานๆ แต่รู้สึกเวลามันสั้นนิดเดียว ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ของเราในการนั่งกระเช้านองปิง แต่เป็นครั้งแรกของการนั่งกระเช้าแบบคริสตัลค่ะ รู้สึกดีกว่าเยอะเลย


เพียงแค่ชั่วอึดใจก็เข้าใกล้ที่หมายแล้ว

ถึงหมู่บ้านนองปิงแล้วจ้า แต่ยังอยากนั่งกระเช้าอีกอ่ะ แหะๆๆ เพราะขากลับเราจะไม่ได้กลับไปทางเดิมค่ะ เสียดายเลย


ยังไงก็แล้วแต่ เราไปไหว้พระกันก่อนดีกว่า แล้วค่อยกลับมาเดินข้อปปิ้งแล้วทานข้าวเที่ยงที่นี่ก่อนจะเดินทางกันต่อไป


ไกด์บอกเราว่าเมื่อมาถึงต้องมาไหว้พระขอพรตรงจุดนี้ก่อนค่ะ เป็นจุดที่สามารถรับพลังได้อย่างดีที่สุด หลังจากนั้นค่อยเดินขึ้นไปนมัสการข้างบนอีกที

บันไดค่อนข้างสูงนะคะ แต่ก็มีจุดพักเป็นระยะๆ แต่ขอแนะนำว่าหากใครหัวเข่าไม่ค่อยดีก็อย่าพยายามฝืนขึ้นไปเลยดีกว่าค่ะ เราไหว้อยู่ข้างล่างก็ได้ แต่สำหรับเรามาแล้วยังไงก็ต้องขึ้นไปให้ถึงค่ะ





แม้จะหยุดพักบ้างเป็นระยะประมาณ 2 ครั้ง แต่ในที่สุดเราก็ขึ้นมาถึงจนได้โดยใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที อิอิ


พอขึ้นมาถึงข้างบนแล้ว เราก็ขอพรตรงหน้าพระท่านนี่แหละค่ะ สาธุ ขอให้บริษัทของเราเฮงๆ รวยๆ แบบอินฟินิตี้ มีโบนัสปลายปีแจกแบบแหลกราญ เงินเดือนขึ้นเอ๊าขึ้นเอา สาธุ 5555 (บอกแล้ว งานเอาหน้านี่ของถนัด หุหุ) จากนั้นก็เดินวนซ้ายรอบองค์พระอีก 3 รอบ


ระหว่างทางก็จะเจอรูปปั้นเทพต่างๆ เป็นระยะๆ ค่ะ





พร้อมกับดูวิวสวยๆ เป็นระยะ





พอครบ 3 รอบแล้วก็เดินลงไปข้างล่างดีกว่าค่ะ เพราะได้เวลาช้อปปิ้งของเราแล้ว เย้

ใช้เวลาช้อปปิ้งไม่ถึง 30 นาที (ได้รองเท้ามา 1 คู่) ก็ถึงเวลานัดทานข้าวเที่ยงแล้วค่ะ เที่ยงวันนี้เราจะทานข้าวกันที่นี่ค่ะ

พอนั่งก้นยังไม่ทันร้อน อาหารจานแรกก็มาเสิร์ฟ จานนี้เป็ดย่างค่ะ อร่อยดี ไม่เหม็นคาว

ตามมาติดๆ กับหมูแดงหมูกรอบที่หั่นออกมาชิ้นพอดีคำ ไม่บางเฉียบจนไม่รู้สึกถึงรสสัมผัส

จานนี้เป็น Recommended ของทางร้านค่ะ เป็นไข่เจียวใส่ต้นหอมธรรมดานี่แหละ แต่ท่าทางทุกคนจะชอบ เพราะสั่งเพิ่มมาอีกจาน

เมนูต่อมาเป็นเต้าหู้ราดน้ำแดงค่ะ แต่เนื่องจากเราเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบทานเต้าหู้เลยทานแค่บร็อกโคลีอย่างเดียว (แถมภาพยังไม่ชัดอีกต่างหาก)

จานต่อไปหมูนึ่งปลาเค็มค่ะ ทานกับข้าวสวยร้อนๆ อร่อยเหาะ

ผัดเปรี้ยวหวาน (มันมาอีกแล้วววววว) จานนี้ไม่ทราบรสชาติค่ะ เพราะไม่ได้ทาน แต่คิดว่ารสชาติอาจจะไม่แตกต่างจากร้านอื่นเท่าไหร่

ปิดท้ายด้วยเมนูของหวานอย่างซาลาเปาไส้ครีมค่ะ ก็เป็นรสชาติของซาลาเปาไส้ครีมนั่นแหละค่ะ ไม่มีอะไรพิเศษ

หลังจากอิ่มท้องแล้ว จุดหมายปลายทางต่อไปของเราก็คือวัดเจ้าแม่กวนอิมพันกรค่ะ ต้องนั่งรถแบบนี้บุกป่าฝ่าเขาไป โดยแยกเป็น 2 คัน ไกด์บอกว่าปกติบริษัททัวร์จะไม่จัดเส้นทางนี้ค่ะ เนื่องจากการเดินทางค่อนข้างลำบาก และต้องเสียค่าใช้จ่ายค่อนข้างเยอะ แต่พอไปถึงก็คุ้มค่าค่ะ ภายนอกบริเวณวัดรู้สึกว่ากำลังมีการปรับปรุงซ่อมแซม


เดินขึ้นบันไดไปสักการะเจ้าแม่กวนอิมข้างบนกันค่ะ

พอขึ้นมาถึงข้างบนก็จะเห็นตัวอาคารแบบนี้ ซึ่งศาลาตรงกลางจะมีทั้งหมด 4 ชั้นค่ะ โดยข้างบนจะเป็นที่ตั้งของเจ้าแม่กวนอิมพันกร และเราสามารถเดินขึ้นไปสักการะองค์พระข้างบนได้ด้วย แต่ห้ามถ่ายภาพค่ะ เราเลยสามารถถ่ายได้เฉพาะบริเวณรอบๆ และด้านหน้าประตูศาลาเท่านั้น


ถ่ายได้แค่จากหน้าประตูเท่านั้น ส่วนข้างบนจะถ่ายไม่ได้แล้วค่ะ วัดนี้ที่เราเห็นมีแต่แม่ชีนะคะ


ใช้เวลาที่นี่พอสมควร ก็ถึงเวลาปล่อยแก่ เอ๊ะ... ใช่เหรอ? 555 ถึงเวลาของความสนุกแล้วค่ะ ดิสนีย์แลนด์ที่เรารอคอยมาตลอดทั้งวัน เย้



จริงๆ จุดประสงค์ของการมาที่นี่ เพราะนายอยากพาพวกเรามาดูการแสดงพลุในช่วงเวลากลางคืนค่ะ แต่ไกด์บอกว่าตอนนี้พลุไม่มีแล้ว เนื่องจากขาดทุน จึงเปลี่ยนเป็นการแสดงพาเหรดไฟแทน แต่สำหรับเรานั้นสิ่งที่สนใจสุดๆ ก็คือเครื่องเล่นต่างหากล่ะ หุหุ ถึงนาทีนี้อย่าได้รอช้า รีบทำเวลาดีกว่า เพราะเวลาที่มาถึงก็เกือบ 16.00 น. อีกแค่ไม่ถึง 4 ชั่วโมงสวนสนุกก็ปิดแล้ว


แต่โชคดีค่ะที่วันที่พวกเราไปนั้นตรงกับวันพุธซึ่งไม่ใช่วันหยุดสุดสัปดาห์ ดังนั้นคนจึงน้อยกว่าปกติ การรอเครื่องเล่นแต่ละชนิดเลยใช้เพียงแค่ไม่นาน แต่ขัดใจตรงที่เครื่องเล่นหวาดเสียวมีน้อยนี่แหละ เพราะดิสนีย์แลนด์ฮ่องกงนั้นได้ชื่อว่าเป็นดิสนีย์แลนด์ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก ดังนั้นเครื่องเล่น หรือสถานที่ต่างๆ จึงมีน้อยกว่าดิสนีย์ที่อื่น อย่างธีมแฮร์รี่ พอตเตอร์ที่นี่ก็ไม่มีเช่นกันค่ะ


เราเริ่มที่เครื่องเล่นนี้ก่อนเลย Big Grizzly Mountain Runaway Mines Cars ระดับความเสียวพอจิ๊บๆ ขอแนะนำว่าให้นั่งหน้าสุดนะคะ เพราะเราลองมาแล้ว

แต่เครื่องเล่นที่เราไปลองแล้วขอแนะนำเลยก็คือ Space Mountain แนะนำว่าอยู่แถวหน้าสุดจะได้บรรยากาศดีที่สุดค่ะ อันนี้สำหรับคนที่ไม่กลัวความมืดนะคะ ส่วน RC Racer แนะนำที่นั่งแถวสุดท้ายเลยค่ะ ถ้าคุณไม่กลัวความสูง ส่วนไฮไลท์สำหรับแฟน Iron Man ที่จะพลาดไม่ได้เลยก็คือ "Iron Man Experience" ค่ะ ที่เหลือก็เป็นเครื่องเล่นชิลล์ๆ ค่ะ




ประมาณเกือบ 2 ทุ่ม ก็ถึงเวลาของขบวนพาเหรดแล้วค่ะ เป็นขบวนพาเหรดสั้นๆ นะคะ ใช้เวลาประมาณสิบกว่านาทีเท่านั้นเอง แต่มีคนรอชมเยอะเหมือนกัน












หลังจาก¬ขบวนพาเหรดจบลง ผู้คนก็รีบกรูกันไปที่ประตูทางออก พวกเราเองตอนนี้ท้องก็เริ่มร้องจ๊อกๆ แล้วเช่นกัน เพราะหลังจากมื้อเที่ยงจนถึงตอนนี้ก็เกือบ 20.30 น. แล้ว ยังไม่มีอาหารอย่างอื่นตกถึงท้องเลย


ใช้เวลาจากดิสนีย์แลนด์ประมาณ 40 นาที ในที่สุดเราก็มาถึงหมู่บ้านชาวประมง Lei Yue Mun แหล่งรวมอาหารทะเลชื่อดัง ฝั่งเกาลูนตะวันออก ซึ่งเป็นที่รวมของอาหารทะเลต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศค่ะ บรรยากาศแถบนี้ค่อนข้างเงียบสงบ ท่ามกลางตึกสูงใหญ่ที่รายล้อม ดูเป็นเอกลักษณ์ดีค่ะ


คืนนี้เราจะทานอาหารเย็นกันที่นี่ค่ะ ภัตตาคาร Lung Tang ซึ่งดูจากป้ายหน้าร้านแล้วน่าจะค่อนข้างมีลูกค้าคนไทยแวะเวียนมามากพอสมควร เพราะอาม่าที่มาเสิร์ฟอาหารให้เราก็สามารถสื่อสารภาษาไทยได้ด้วย

อาหารทะเลที่นี่สดและไซส์ใหญ่เบิ้มจริงๆ ค่ะ แถมเขายังมีการแล่ให้ดูสดๆ ด้วย แต่เราขอบายดีกว่า ขอเห็นเฉพาะที่ทำออกมาเสร็จเป็นอาหารเรียบร้อยก็พอแล้ว


จานแรกมาค่ะ กุ้งมังกร จะทานเป็นซาซิมิสดๆ จิ้มกับวาซาบุและโชยุก็เด้งดึ๋ง หรือจะทานแบบชาบูก็รสชาติดีเหมือนกัน ตัวใหญ่มาก ถ่ายได้ไม่หมดเลย


ตามด้วยกุ้งลวก เห็นตัวเล็กๆ แบบนี้แต่สดมากนะคะขอบอก ทานกับน้ำจิ้มซีฟู้ด แซบมากกกก

หอยเป๋าฮื้อผัดกับก้านกระเทียม (มั้ง) รสชาติโอเคค่ะ แต่สำหรับเรายังไม่ค่อยโดนเท่าไหร่

กั้งทอดกระเทียมพริกไทยค่ะ อร่อยดี เราเพิ่งเคยทานกั้งเป็นครั้งแรก เพราะปกติก็ทานแค่ญาติเขาอย่างเดียว

ตามมาติดๆ ด้วยหอยเชลล์ค่ะ ข้างบนจะเป็นวุ้นเส้นแล้วก็กระเทียมเจียว โรยต้นหอมอีกนิดหน่อย จริงๆ คือเขาให้ทานกับน้ำจิ้มนะคะ แต่เราเป็นพวกไม่ชอบทานน้ำจิ้ม ก็เลยมีความรู้สึกถึงรสชาติแบบหอยเชลล์นั่นแหละค่ะ แต่ความสดนี่ขอรับประกัน

จานต่อมาข้าวผัดทะเลค่ะ รสชาติอ่อนๆ เราชอบที่เขาผัดมาไม่มันจนเกินไป อร่อยดี ไม่เลี่ยนด้วย

จานนี้เป็นปลาเก๋านึ่งซีอิ๊วค่ะ เนื้อปลาสดและหวานมาก แต่ถ้าคนไม่ชอบทานปลาอาจจะบอกว่าคาว

สุดท้ายเป็นโจ๊กกุ้งมังกรที่เราทานเข้าไปเป็นจานแรกนั่นแหละค่ะ เขาเอาส่วนที่เราทานไม่ได้ อย่างเช่นส่วนหัว และส่วนหางไปต้มเป็นโจ๊กร้อนๆ มาให้เราทานกัน ก็อร่อยดีค่ะ ทานแล้วรู้สึกอบอุ่นถึงเครื่องในตับไตไส้พุงเลยล่ะ หลังจากนั้นพออิ่มแล้วพวกเราก็กลับโรงแรมนอนค่ะ เพราะกว่าจะทานอิ่ม กว่าจะนั่งรถกลับโรงแรมก็ดึกพอสมควรแล้ว

8 มีนาคม 61 วัดแชกงหมิว - วัดหวังต้าเซียน – ศาลเจ้าแม่กวนอิมเก่าแก่ ย่าน Hung Hom - วิคตอเรีย ฮาร์เบอร์- สนามบินฮ่องกง – กรุงเทพฯ
วันสุดท้ายของทริป เป็นวันที่อากาศหนาวที่สุดแล้วค่ะ แถมฝนยังตกปรอยๆ ตั้งแต่เช้าด้วย โดยสรุปคือวันนี้พวกเราแทบจะไม่เห็นแดดเลย
เช้าวันนี้เราเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมในเวลา 10.00 น. ค่ะ จากนั้นรถบัสคันใหญ่ก็มารับเราเพื่อไปสถานที่แรกของวัน นั่นก็คือ ไปทานอาหารเช้าที่ร้านโจ๊กชื่อดังในหมู่คนไทยที่ตั้งอยู่ในย่านจิมซาจุ่ย ซึ่งก็คือร้าน Hung Lee หรือที่คนไทยบางคนชอบรียกว่าร้านโจ๊กไม่ลองไม่รู้นั่นเองค่ะ

หลักๆ แล้วอาหารร้านนี้ก็คือโจ๊กนั่นแหละค่ะ แต่จะมีหลายแบบให้เลือกทาน แต่ที่ได้รับความนิยมมากๆ ก็น่าจะเป็นโจ๊กไข่เยี่ยวม้า (ซึ่งมีหมูก้อนในนั้นด้วย) แล้วก็โจ๊กเป๋าฮื้อ มื้อนี้เราสั่งโจ๊กไข่เยี่ยวม้าไปค่ะ ส่วนน้องๆ สั่งโจ๊กหมู ทานกับปาท่องโก๋ร้อนๆ (แต่ที่กลับไม่ร้อนแฮะ)


นอกจากเมนูโจ๊กแล้ว ร้านนี้เขาก็มีอาหารขึ้นชื่ออย่างอื่นอีกนะคะ อย่างเช่นจานนี้เป็นตับและเซี่ยงจี๊ลวก
ซึ่งไม่เหม็นคาวเลยค่ะ แถมยังเด้งๆ ในปากด้วย

ผักกวางตุ้งราดซอสน้ำมันหอย อันนี้คือเราตั้งใจสั่งมาเพราะอยากทานอะไรที่เป็นผักๆ บ้าง

บะหมี่เนื้อตุ๋น รสชาติเป็นยังไงเราไม่ทราบค่ะ เพราะแค่โจ๊กก็อิ่มแล้วเลยไม่ได้ลองชิม

เนื้อตุ๋นค่ะ จานนี้เราก็ไม่ได้ลองเช่นกัน แต่เห็นคนกินเขาบอกว่าอร่อยดี

เสร็จจากมื้อเช้า เราก็ไม่เสียเวลารอให้ท้องย่อยค่ะ เพราะวันนี้เราต้องไปเช็คอินและโหลดกระเป๋าให้ทันขึ้นเครื่องภายในเวลา 17.30 น. ดังนั้นจึงต้องรีบทำเวลาค่ะ เพราะวันนี้เรามีรายการต้องไปไหว้พระอีกถึง 3 วัดด้วยกัน
เริ่มที่วัดแรก วัดแชกงหมิว หรือที่คนไทยชอบเรียกว่าวัดกังหันลมนั่นแหละค่ะ วัดนี้ก็เป็นวัดที่ร่ำลือถึงความศักดิ์สิทธิ์ ว่ากังหันลมจะสามารถพัดพาเอาสิ่งไม่ดีออกไปจากชีวิตเราได้ และการหมุนกังหันกลับทิศ ก็จะช่วยหมุนชีวิตของเราให้พลิกผันจากร้ายกลายเป็นดีได้เช่นเดียวกัน

มาถึงก็ต้องบูชาธูปก่อนค่ะ ในราคาชุดเล็กสุดคือ 48 เหรียญฯ เขาก็จะมีเป็นชุดให้ตามนี้เลย

เราก็นำธูปไปให้เจ้าหน้าที่จุดให้ที่ลานกว้างตรงนี้ ส่วนกระดาษสีแดงนั้นคือใบใบสะเดาะเคราะห์ค่ะ ทำให้เกิดสิริมงคล ปัดเป่าเรื่องร้ายๆ ออกไป เราก็เขียนชื่อ-นามสกุลลงไป แต่สำหรับเราเรื่องมันไม่จบเพียงแค่นี้สิคะ คือเราเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า เราควรเขียนชื่อเป็นภาษาอะไรดี เพราะถ้าภาษาจีนนี่คือเราไม่ได้เลย มองหาไกด์ก็ไม่เจอ สุดท้ายเลยเขียนเป็นภาษาอังกฤษค่ะ แต่ตอนอธิษฐาน ดันพูดภาษาไทย เออ.. รู้สึกแบบเป็นอะไรที่ Global ดีนะ

สำหรับวิธีการคาราวะขอพรนะคะ เริ่มต้นก็คือให้เราหันหน้าออกมาทางหน้าวัด เพื่อไหว้ฟ้าดินก่อนค่ะ แล้วก็บอกชื่อ-นามสกุล และวัตถุประสงค์ที่มาทำบุญที่วัดในครั้งนี้ด้วย จากนั้นก็นำธูปไปปักที่กระถาง

ส่วนภายในศาลาจะเป็นที่ตั้งของท่านแชกงค่ะ เวลาที่เราจะขอพรจากท่าน ไกด์แนะนำว่าให้เราเงยหน้าขึ้นสบตาท่านตลอดเวลาค่ะ แล้วก็ให้เรียกท่าน “แชกงเหย่เหย” เสียงต่ำนะคะ ได้ยินเสียงบางคนพูด “แชกงเย้เย้” อันนี้คือไม่ถูกต้องค่ะ เป็นการแสดงความดีใจอะไรไปซะงั้น จากนั้นก็แจ้งชื่อ-นามสกุลของเรา พร้อมกับขอพรจากท่านได้เลยค่ะ


หลังจากไหว้พระขอพรเสร็จ เราก็ไปหมุนกังหังลมต่อค่ะ ตอนแรกจินตนาการว่าคงเป็นกังหันที่ใหญ่เบิ้ม แต่เปล่าจ้าาา ไซส์ปกตินี่แหละค่ะ จากนั้นเราก็เดินสำรวจรอบๆ บริเวณวัดค่ะ ส่วนใหญ่ก็จะมีรูปปั้นเทพต่างๆ แล้วก็กังหันลมที่เดาว่าน่าจะเป็นคนทั่วๆ ไปนี่แหละนำมาเซ่นไหว้ หรือแก้บนหรือเปล่า อ้อ.. มาที่นี่อย่าลืมเช่าเครื่องรางกลับบ้านนะคะ เป็นกังหันลม แต่ควรทำพิธีเสียก่อน เพื่อเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ค่ะ (โปรดใช้วิจารญาณในการอ่าน)





วัดที่ 2 ของวันสุดท้าย วัดหวังต้าเซียน หรือวัดหว่องไท่ซินนั่นเองค่ะ ตั้งอยู่ท่ามกลางตึกสูงระฟ้าเลย แถมยังเป็นย่านที่อยู่อาศัยอีกต่างหาก ทำให้วัดแห่งนี้พยายามรณรงค์ในเรื่องของการจุดธูปค่ะ เพราะควันธูปอาจจะไปรบกวนชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถบนี้ได้ สำหรับเรามีความรู้สึกว่า แม้วัดแห่งนี้จะตั้งอยู่ใจกลางเมืองเลย แต่เรื่องความสวยงามของสถาปัตยกรรมนับตั้งแต่ซุ้มประตูขนาดใหญ่ที่ได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิเต๋า ศาสนาพุทธ และลัทธิขงจื้อ บวกความขลังนี่ต้องยกนิ้วให้เลยค่ะ

มาถึงหน้าประตูวัด สิ่งแรกที่ต้อนรับเราก็คือรูปปั้นตัวปี่เซียะนี้ค่ะ อย่าลืมลูบเล่นกับเขาก่อนเข้าวัดนะคะแล้วคุณจะโชคดี แต่ไกด์บอกว่าอย่าลูบหนวด (เพราะอะไร อันนี้เราจำไม่ได้ ต้องขอโทษด้วยค่ะ)

ซุ้มประตูที่นี่อลังการงานสร้างมาก มีอายุกว่าร้อยปีแล้วค่ะ วัดแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นวัดที่ใครมาขอพรอะไร ก็จะสมปรารถนาไปเสียทุกประการ ดังนั้นจึงมีผู้คนทั้งชาวไทย และชาวจีนแผ่นดินใหญ่แวะมาไหว้ขอพรอย่างเนืองแน่นอยู่ตลอดค่ะ


หลังจากเข้ามาภายในวัด จุดแรกที่เราจะต้องสักการะขอพรก็คือเทพเจ้าหวังต้าเซียนค่ะ ส่วนใหญ่คนที่มาที่นี่ก็มักจะขอพรในเรื่องของสุขภาพพลานามัย จะเป็นของเราหรือคนที่เรารักก็ได้นะคะ

ที่ลานด้านในวัด หน้าศาลเจ้าตรงนี้จะมีแท่นสีแดงให้นั่งคุกเข่ากราบไหว้และขอพรด้วยค่ะ ส่วนด้านบนก็จะมีการประดับโคมลอยสวยๆ เอาไว้ นอกจากคนส่วนใหญ่จะมาขอพรแล้ว ยังชอบมาเสี่ยงเซียมซีด้วยค่ะ ได้ยินมาว่าแม่นมาก แต่จะมีคำแปลเฉพาะภาษาจีนและภาษาอังกฤษนะคะ ซึ่งเราไม่ได้เสี่ยงเซียมซีค่ะ


อีก 2 จุดที่เราจะต้องไปกราบไหว้ขอพรก็คือ เจ้าแม่กวนอิม กับศาลท่านเจ้าที่ค่ะ


และที่สุดท้ายคือจุดไฮไลท์ที่หลายๆ คนที่ร่วมทริปมาด้วยกันรอคอยค่ะ แถมยังเป็นจุดยอดนิยมสุดๆ อีกต่างหาก ว่ากันว่าเรื่องของความรักนั้น "หากไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ ก็เอาด้วยคาถา" ค่ะ เพราะฉะนั้นท่านเทพเจ้าหยุคโหลว หรือเทพแห่งความรักจึงกลายเป็นที่พึ่งทั้งของคนที่มีคู่และยังไม่มีคู่เป็นอย่างดี

เทพเจ้าหยุคโหลว หรือบางคนก็รู้จักท่านในนามเทพเจ้าแห่งจันทรา ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความรักค่ะ เชื่อกันว่าสมุดที่ท่านถือนั้นเป็นสมุดรายชื่อคู่รักที่จะได้รับคำอวยพรให้อยู่คู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข จุดนี้สำหรับคนที่มีคู่แล้วมักจะเอาด้ายแดงไปผูกไว้ที่ท่าน เพื่อให้ครองรักกันอย่างมีความสุขสืบไปค่ะ


ส่วนคุณผู้หญิงท่านไหนที่ยังไม่มีคู่และอยากมีคู่นะคะ สำหรับวิธีการไหว้ขอความรักก็คือ ให้ไหว้ที่องค์เทพหยุคโหลวที่อยู่ตรงกลาง 3 ครั้งค่ะ จากนั้นก็เดินไปที่รูปปั้นเจ้าบ่าว ลูบเท้าเจ้าบ่าว 3 ครั้ง แล้วก็นำด้ายแดงไปผูกไว้ที่เชือกสีแดงเส้นใหญ่ฝั่งเจ้าบ่าวค่ะ

ส่วนคุณผู้ชายก็เช่นเดียวกันค่ะ หากคุณยังไม่มีคู่ และคิดว่าถึงเวลาของการมีคู่เสียที ให้ไหว้ที่องค์เทพหยุคโหลวที่อยู่ตรงกลาง 3 ครั้งค่ะ จากนั้นก็เดินไปที่รูปปั้นเจ้าสาว ลูบเท้าเจ้าสาว 3 ครั้ง แล้วก็นำด้ายแดงไปผูกไว้ที่เชือกสีแดงเส้นใหญ่ฝั่งเจ้าสาวค่ะ

และสุดท้ายสำหรับคนที่มีความคิดว่า “ความรักไม่มีเพศ” เพราะฉะนั้นคุณจะรักใครก็ได้ แม้ว่าจะเป็นเพศเดียวกันกับคุณก็ตาม คุณก็สามารถไหว้ท่านเทพยุคโหลว แล้วก็เดินไปลูบเท้ารูปปั้นเพศเดียวกับคุณ 3 ครั้ง แล้วก็นำด้ายแดงไปผูกไว้บนจุดนั้นได้เช่นกันค่ะ อิอิ



นอกจากเทพเจ้าหลักๆ ทั้ง 4 รวมถึงท่านขงจื้อที่คนส่วนใหญ่นิยมมาไหว้ขอพรแล้ว ในบริเวณรอบนอกยังมีรูปปั้นของเทพเจ้าอื่นๆ อีกมากมายค่ะ แต่โดดเด่นที่สุดก็เห็นจะเป็นเทพซึ่งเป็นตัวแทนของนักษัตรทั้ง 12 ราศีนี้แหละค่ะ

ชวด (หนู)

ฉลู (วัว)

ขาล (เสือ)

เถาะ (กระต่าย)

มะโรง (มังกร)

มะเส็ง (งู)

มะเมีย (ม้า)

มะแม (แพะ)

วอก (ลิง)

ระกา (ไก่)

จอ (สุนัข)

กุน (หมู)
ตอนนี้ฝนเริ่มลงเม็ดแล้วค่ะ พวกเรารีบวิ่งไปขึ้นรสบัสที่รออยู่บริเวณลานจอดรถด้านข้างเพื่อเดินทางต่อไปยังศาลเจ้าแม่กวนอิมเก่าแก่ของฮ่องกง ณ ย่าน Hung Hom เพราะตอนนี้เวลาก็ย่างเข้าเกือบบ่าย 4 โมงแล้ว

เราใช้เวลาประมาณ 20 นาทีก็ถึงที่หมายแล้วค่ะ ที่นี่เป็นศาลเจ้าเล็กๆ ที่มีคนมาขอพรเยอะพอสมควร ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเป็นชาวจีนนั่นแหละ แต่จะเป็นจีนฮ่องกงหรือจีนแผ่นดินใหญ่ เราไม่สามารถแยกภาษาจีนกลางกับกวางตุ้งออกจริงๆ โดยจุดประสงค์ที่คนส่วนใหญ่มาที่นี่ก็คือ การมาไหว้ขอพรองค์เจ้าแม่กวนอิมค่ะ ซึ่งมีชื่อเสียงทางด้านการให้กู้เงินค่ะ ใครอยากเปิดกิจการ หรือต้องการเงินไปต่อยอดกิจการใดๆ ก็แล้วแต่ ต้องมาที่นี่ค่ะ

สำหรับวิธีการขอพรนะคะ เจ้าหน้าที่ก็จะเป็นคนจุดธูปให้เราค่ะ เราก็รับธูปมา จากนั้นก็หันหน้าออกนอกวัดเพื่อไหว้ฟ้าดิน 3 รอบค่ะ ก่อนจะหันมาหาเจ้าแม่กวนอิม และอธิฐานขอพรขอกู้เงินจากท่านได้เลย ว่าจะเอาเท่าไหร่ (ที่สามารถเป็นจริงได้) จากนั้นเจ้าหน้าที่จะแจกซองอังเปาสีแดงให้เราค่ะ ก็เก็บซองนั่นแหละใส่กระเป๋าตังค์ไว้ ส่วนผลของการอธิษฐานหากสำเร็จตามที่คุณได้ขอไว้ ก็ค่อยกลับมาทำบุญใช้ท่าน แต่ถ้าจะให้ดี ไกด์แนะนำว่าควรมาไหว้ติดต่อกันอย่างน้อย 3 ปีค่ะ

บรรยากาศภายในศาลเจ้าค่ะ ถึงจะเล็กแต่ก็ดูขลังมาก






จบแล้วค่ะสำหรับทริปสายบุญ กับการตระเวนไหว้พระ 10 แห่งของเรา (เกิน 9 มานิดหน่อย) คือที่มาเก๊า 5 จุด และที่ฮ่องกงอีก 5 จุดเช่นกันค่ะ (แต่บางจุดก็ไม่ได้เข้าไปในวัดนะเออ) พอออกจากศาลเจ้า ก็มาเจอความสดใสตะมุตะมิของน้องหมา 2 ตัวนี้ แอร๊ยยย แทบอยากขโมยกลับบ้าน




สำหรับวันนี้ก่อนที่จะเดินทางกลับกรุงเทพมหานครโดยสายการบินไทยเช่นเดิม เราก็ได้แวะไปช้อปปิ้งอีกนิดหน่อยแถวๆ วิคตอเรีย ฮาร์เบอร์ และทานข้าวหน้าเนื้อกับนายก่อนจะเดินทางไปที่สนามบินฮ่องกง ซึ่งเราไม่ได้เก็บภาพกลับมานะคะ เพราะเริ่มง่วงแล้ว 555



สุดท้ายก็ขอบคุณเจ้านายที่รักทุกท่านนะคะที่ทำให้ทริปนี้เป็นอีกหนึ่งทริปที่น่าจดจำ (จะจบแล้ว งานอวยของเราต้องไม่พลาด อิอิ) แล้วก็ขอบคุณสำหรับคนอ่านที่รอคอยตอนที่ 2 มายาวนานนะคะ
สำหรับทริปหน้าในช่วงที่เราหายไปนั้น เราไปเกาหลีมาค่ะ เป็นทริปคนจน ชิลล์ๆ ซึ่งแตกต่างอย่างสุดขั้วกับทริปนี้ ซึ่งเราจะรีบมารีวิวให้ดูกันค่ะ และก็ขอฝาก Facebook Fanpage ของเราด้วยนะคะ
www.facebook.com/ContentMarketingStory
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อมูลจาก Content Marketing Story @Am2b Marketing
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น