
สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ชาวบลูแพลนเน็ตที่รักการเดินทางท่องเที่ยวทุกท่าน นี่เป็นกระทู้รีวิวครั้งแรกของเราในพันทิปนะคะ และยังเป็นการ (พยายาม) ถ่ายภาพการเดินทางเองครั้งแรกด้วยค่ะ เพราะฉะนั้นขอบอกก่อนว่าภาพอาจจะไม่สวยเหมือนช่างภาพมืออาชีพนะคะ
ยังไงก็ขอฝากกระทู้นี้ด้วยค่ะ เผื่อว่าพอจะมีประโยชน์กับเพื่อนสมาชิกบ้างไม่มากก็น้อย โดยเราจะแบ่งออกเป็นทั้งหมด 2 ตอน คือมาเก๊า 3 วัน และฮ่องกงอีก 3 วันค่ะ
โดยตลอดทั้งทริปนี้ นอกจากเงินช้อปปิ้งแล้ว เจ้านายของเราจ่ายให้ทั้งหมดค่ะ เป็นการเดินทางไปไหว้พระที่มาเก๊า-ฮ่องกง ในนามบริษัทเป็นเวลา 6 วัน 5 คืน โดยทริปนี้มีเพื่อนร่วมทริปทั้งหมด 34 คนรวมเจ้านาย (3 คน) ด้วยค่ะ
**ต้องขออภัยด้วยนะคะ ที่บางช่วงบางตอนอาจไม่มีภาพรีวิว เนื่องจากเป็นการเดินทางเป็นกลุ่มใหญ่ บางจุดต้องรีบจึงไม่สะดวกสำหรับการถ่ายภาพสักเท่าไหร่ แต่เราจะขอเขียนข้อมูลให้เห็นภาพโดยละเอียดแทนค่ะ
***ก่อนที่จะเดินทางประมาณ 1 อาทิตย์ เราได้ไปแลกเงินที่ร้าน k79 money exchange แถวๆ สถานีรถไฟฟ้าอ่อนนุชมาค่ะ ในเรท 4.03 ซึ่งก็เท่าๆ กันกับร้าน SuperRich ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกของร้านแลกเงินที่ใช้ได้เลยทีเดียว
3 มีนาคม 61 กรุงเทพฯ - ฮ่องกง – มาเก๊า - เวเนเชี่ยน
สำหรับการเดินทางครั้งนี้ พวกเราใช้บริการสายการบินไทยค่ะ ไฟลท์เช้า 08.00 น. และไปถึงสนามบินฮ่องกง 11.45 น. (ตามเวลาท้องถิ่น)


พอถึงสนามบินก็เดินไปตามป้าย Ferries to Mainland/Macau เพื่อเดินทางต่อไปยังมาเก๊าทันที จากนั้นก็เดินตรงไปเรื่อยๆ ค่ะ ก็จะเจอบันไดเลื่อนทางซ้ายมือ ก็เหมือนเดิมเลยค่ะ เดินลงไปตามป้าย Ferries to Mainland/Macau เพื่อไปขึ้นรถไฟ ซึ่งชานชาลาจะอยู่สุดทางของบันไดเลื่อนเลย รอไม่ถึง 3 นาที รถไฟก็มาแล้วค่ะ

นั่งรถไฟไปเพียงแค่สถานีเดียวก็ลงเลยค่ะ จากนั้นก็เดินขึ้นบันไดเลื่อนไปตามป้าย Ferry boarding จนไปถึงทางแยกก็จะมีป้ายข้างบนบอกรายละเอียดว่าต้องไปอะไรตรงไหนบ้าง สำหรับคนที่จะเดินทางไปมาเก๊า ตรงนี้ต้องเลี้ยวขวาไปตามที่ป้ายบอกว่า Ferries to Mainland/Macau เพื่อไปซื้อตั๋วเรือ TurboJet ไปมาเก๊าค่ะ ห้ามเดินตรงไปที่ Immigration อย่างเด็ดขาด!!

สำหรับเวลา Departure Time ของเรือ TurboJet จากฮ่องกงไปมาเก๊านะคะ และจากมาเก๊ามาฮ่องกง ก็ตามนี้เลยค่ะ

และเนื่องจากพวกเราไปถึงสนามบินฮ่องกงก็เกือบเที่ยงแล้ว เลยเลือกที่จะเดินทางในรอบ 13.15 น. และไปถึงมาเก๊าในเวลา 14.45 น. ค่ะ

ส่วนการซื้อตั๋วเรือ ถ้าผู้โดยสารไม่มีสัมภาระโหลดมากับเครื่อง ต้องมาซื้อตั๋วก่อนเรือออกอย่างน้อย 30 นาทีค่ะ แต่ถ้ามีสัมภาระโหลดมาใต้ท้องเครื่อง ก็ต้องมาซื้อตั๋วก่อนเรือออกอย่างน้อย 60 นาที จากนั้นก็ยื่นใบโหลดกระเป๋าให้เจ้าหน้าที่ TurboJet ไปรับกระเป๋ามาขึ้นเรือแทนเรา
** สำหรับค่าโดยสารนะคะ เรือ TurboJet จะมีทั้งหมด 2 Class ตามนี้เลยค่ะ

ซึ่งเจ้านายก็ใจดี ซื้อตั๋ว Super Class ให้เพื่อจะได้นั่งกันสบายๆ โดยสิทธิพิเศษของชั้นนี้ก็คือได้ที่นั่งชั้นบนของเรือ ในลักษณะ 2-3-3-2 ได้สิทธิขึ้น-ลงเรือก่อนชั้น Economy Class นอกจากนั้นก็มีอาหารและน้ำเสิร์ฟให้ด้วยค่ะ

พอถึงเวลาที่เรือใกล้ออก ก็เดินตัวปลิวไปขึ้นเรือได้เลย ก็จะมีเจ้าหน้าที่บอกให้เราลงบันไดเลื่อนเพื่อนั่งรถไฟไปยังท่าเรืออีก 1 สถานี จากนั้นก็เดินไปตามป้ายเลยค่ะ


ชั้น Super Class ซึ่งอยู่ชั้น 2 ของเรือ เรานั่งท้ายสุด เป็นที่นั่งเดี่ยว แอบงีบหลับสบายเลย

อาหารที่เสิร์ฟบนเรือค่ะ เรากินแค่เต้าหู้ น้ำเปล่า แล้วก็สลัด (ที่หาเนื้อสัตว์ไม่เจอ) อีกนิดหน่อย กัดขนมปังไปคำนึง ไม่ไหวอ่ะ แข็งมาก

ในที่สุดก็ถึงฝั่งมาเก๊าแล้ว เย้ๆๆ ไปรอรับกระเป๋าก่อนจ้า

ขณะนั่งรถบัสไปยังโรงแรม เริ่มมีหมอกนิดหน่อย อากาศกำลังสบายเลยค่ะ ไม่หนาว ไม่ร้อน


ถึงโรงแรมเรียบร้อย เราจะพักกันที่โรงแรม Holiday Inn และ Conrad 3 คืนค่ะ ซึ่งเป็นโรงแรมที่ตั้งอยู่ภายในบริเวณ Sands Resorts Cotai Strip Macao นอกจากนั้นภายในบริเวณก็มีโรงแรมอื่นๆ อีก 5 แห่งคือ The Venetian Macao, The Parisian Macao, Sheraton Grand Macao Hotel, The St. Regis Macao, Four Seasons Hotel Macao และ Sands Macao

บริเวณชั้นล่างจนถึงชั้น 3 ของฝั่ง Cotai Central ที่เชื่อมไปยังโรงแรม มีร้านค้าให้ช้อปปิ้งเยอะมาก แถมบางร้านกำลังลดราคาด้วย ชอบอ่ะ แต่ไม่ชอบอย่างเดียวคือ เราแลกมาแค่เงินฮ่องกงดอลลาร์ แต่พอซื้อของแล้วเค้าทอนมาเป็นเงินสกุลมาเก๊านี่แหละ

เฮ้อออ ในที่สุดก็ถึงห้องพักซะที ของเราได้พักฝั่ง Holiday Inn ค่ะ ราคาต่อคืนเท่าไหร่ไม่ทราบนะคะ บอกแล้วทริปนี้เจ้านายจ่ายให้หมด ห้องนี้เราพักกัน 3 คนค่ะ เป็นเตียงขนาดควีนไซส์ 2 เตียง นอนสบายเลย






พักล้างหน้าล้างตา เอนหลังสักครู่ก็ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว วันนี้เราจะทานอะไรง่ายๆ ที่ชั้น 3 ของ Cotai Central เป็นคล้ายๆ ฟู้ดคอร์ทค่ะ อาหารต่อจานก็เริ่มต้นที่ประมาณ 50 MOP แต่เราจ่ายด้วยเงินฮ่องกงไป แล้วเค้าก็ทอนมาให้เราเป็นเงินมาเก๊า (แล้วค่อยเอาใบเสร็จไปแลกเงินกับนายอีกที)


จานนี้เป็นข้าว แล้วก็เครื่องในวัวค่ะ ใครไม่ทานเนื้อวัวต้องขอประทานโทษด้วยนะคะ เราสั่งเป็นเซ็ตเสิร์ฟพร้อมผัดผักเค็มๆ แล้วก็น้ำซุปจืดๆ ในราคา 78 MOP อาหารที่นี่จานใหญ่มากกกกก เราทานไม่ถึงครึ่งยังจุกเลย แต่ยอมรับว่าคนมาเก๊าเค้ากินจุกันจริงๆ เราเห็นผู้หญิงโต๊ะข้างๆ ตัวเล็กนิดเดียวแต่เธอซัดเรียบทั้งข้าวและบะหมี่

ทานข้าวอิ่มก็ไปช้อปปิ้งกันต่อที่ The Venetian เดินทางไปง่ายนิดเดียว คือลงบันไดเลื่อนมาชั้น 2 แล้วเดินไปทางฝั่งโรงแรม Four Seasons จากนั้นก็เดินข้ามสะพานที่เป็นทางเชื่อมก็ถึงแล้ว แถมสองข้างทางยังมีแต่ช็อปแบรนด์เนมเต็มไปหมด







แวะทานไอศกรีมล้างปากสักหน่อย อร่อยดี (นายจ่ายอีกแล้ว)

จากนี้เดี๋ยวเราจะเดินไปถ่ายรูปหอไอเฟลจำลองที่หน้า The Parisian Macao ค่ะ แต่ก่อนอื่นขอแวะถ่ายรูปข้างในก่อนสักนิด



ถึงแล้วจ้า หอไอเฟลจำลอง เค้ากำลังจะเริ่มแสดงไฟเลย แต่ขอตินิดนึงว่าเพลงจีนที่นำมาใช้ประกอบไม่ได้เข้ากับบรรยากาศเลยสักนิด




ข้างๆ จะเป็น Studio City ค่ะ แต่เราไม่ได้ข้ามไป เพราะเริ่มเมื่อยเท้าแล้ว เลยขอแค่เก็บภาพบรรยากาศอีกนิดหน่อย ตอนนี้หมอกเริ่มจะหนาแล้ว อากาศเย็นนิดๆ ค่ะ



เริ่มง่วงละ เดินกลับโรงแรมก่อนดีกว่า แต่ขอถ่ายภาพหอไอเฟลจำลองด้านตรงข้ามถนนอีกสักนิด



4 มีนาคม 61 เจ้าแม่ทับทิมวัดทินหัว - วัดอาม่า – เจ้าแม่กวนอิมปรางค์ทองริมทะเล – วัดกวนอิม - เซนาโด สแคว์


เช้าวันที่ 2 ของการมาเยือนมาเก๊า ฝนตกแต่เช้าจ้า เพราะงั้นแผนการที่จะออกไปเดินถ่ายรูปชิลล์ๆ บริเวณรอบๆ ภายนอกของโรงแรมเลยเป็นอันพับเก็บไปก่อน นาทีนี้กองทัพต้องเดินด้วยท้อง วันนี้เราและกลุ่มสาวๆ จึงต้องออกมาหาอะไรรองท้องด้วยตัวเอง (จ่ายเองเป็นมื้อแรก) ซึ่งเราก็กลับมาที่ฟู้ดคอร์ทชั้น 3 เช่นเดิม แต่เพิ่มเติมคือสั่งเมนูใหม่ เมื่อวานทานเนื้อไปแล้ว วันนี้จะขอทานหมูบ้าง

จานยังใหญ่เหมือนเดิม เมนูนี้ 55 MOP ค่ะ เนื้อหมูไม่เหนียวเท่าไหร่แต่ก็ไม่ถึงกับนุ่ม ส่วนไข่เค็มนี่เค็มสมชื่อจริงๆ สรุปคืออาหารจานนี้เราให้คะแนน 6/10


อิ่มแล้วก็เดินย่อยในโรงแรมสักหน่อย ที่เห็นฉากกั้นสีส้มๆ น้ำตาลๆ นั้นจะเป็นส่วนของกาสิโนนะคะ ใครที่ชอบเสี่ยงโชคสามารถมาจับเจ่าและจับจองที่นั่งได้ตลอด 24 ชั่วโมงเลยค่ะ แต่สำหรับเราขอบายดีกว่า เพราะไม่มีดวงเรื่องนี้จริงๆ แต่ถ้าให้เป็นกุนซืออ่ะพอไหว อิอิ


เดินออกมาหน้าโรงแรมมั่ง แต่ฝนลงเม็ดหนัก เลยทำได้แค่ถ่ายจากมุมนี้ที่พอมีหลังคาคุ้มหัวบ้าง

เดินย่อยไม่ถึงชั่วโมง เจ้านายก็เรียกรวมพลด่วน เพราะถึงเวลาที่เราจะต้องออกไปไหว้พระแล้ว ซึ่งวันนี้เราจะใช้รถคันนี้ตลอดทั้งวันเลย สามารถนั่งได้คันละ 6 คนจ้า สบายดี ไม่อึดอัด แถมคนขับยังงานดีอีกต่างหาก

11.30 น. (เวลามาเก๊า) ตั้งแต่ขึ้นรถไอ้เราก็เข้าใจมาตลอดว่าเจ้านายน่าจะพาไปไหว้พระก่อน แต่ไม่จ้า ขอแวะทานข้าวก่อน โอ้ววว สิ่งที่ฉันเพิ่งทานไปเมื่อชั่วโมงที่แล้วยังไม่ย่อยเลยเด้อ แต่พี่เจสสิก้า ไกด์สาวสุดสวยแนะนำว่ามามาเก๊าทั้งที ยังไงก็ต้องมาทานข้าวที่ Chan Kong Kei ให้ได้ ไอ้เราก็ไม่อยากขัดศรัทธานาย ก็เลยต้องเขมือบไปตามระเบียบอีกรอบ




มื้อนี้ไก่เราไม่ได้ลอง แต่สาวๆ ร่วมโต๊ะบอกว่าค่อนข้างจืด ส่วนเป็ด... เออชอบอ่ะ อร่อยดี บอกไม่ถูกว่าอร่อยแบบไหน แต่สรุปคือชอบ จานหมูกรอบ-หมูแดงก็พอได้ จะมีกระดูกแทรกพอกรุบๆ แต่เนื่องจากเราจัดฟันเลยเคี้ยวไม่ได้ และจานสุดท้ายที่ไม่ว่ามื้อไหนมันต้องมาเสมอ น่าจะเป็นผัดผักกาดแก้วน้ำมันหอยหรือเปล่า เราไม่แน่ใจ แต่ก็ช่วยแก้เลี่ยนได้นิดนึง (อ้ออ... สิ่งหนึ่งที่เราสังเกตเห็นว่าร้านอาหารทุกร้านของที่นี่จะชอบทำเหมือนกันหมดก็คือ เสิร์ฟข้าวมาทีหลังกับค่ะ แล้วทิ้งช่วงนานนนนมากกก ถ้าเจอคนหิวๆ นี่คงซัดกับไปหมดก่อนที่ข้าวจะมาแล้ว)

อิ่มแล้วก็ได้เวลาขึ้นเขาโคโลอานไปขอพรเจ้าแม่ทับทิมแห่งวัดทินหัว ทางขึ้นค่อนข้างคดเคี้ยว แต่บ๊อบบี้ (พี่คนขับ) ที่เราแอบถามชื่อมา เธอขับรถได้นิ่มมาก


ใช้เวลาไม่กี่ชั่วอึดใจก็มาถึงที่หมาย แต่วันนี้หมอกลงจัดมากกกกก แทบจะมองอะไรไม่เห็น พี่เจสฯ (ที่หลายคนในทริปแอบเรียกว่าป้าเจส) ไกด์สาวบอกว่าต้องเดินขึ้นเขาไปอีก เพื่อสักการะขอพรรูปปั้นเจ้าแม่ทับทิมก่อน ไม่ไกลเท่าไหร่ แค่ 300-500 เมตร (แม้ว) เท่านั้นเอ๊งงง


เรากระย่องกระแย่งขึ้นเขาจนลิ้นห้อย คือระยะทางอ่ะไม่เท่าไหร่ แต่มันต้องไต่บนที่สูงด้วยรองเท้าบูทส้นสูงที่อุตส่าห์หอบหิ้วมาจากเมืองบางกอกนี่สิคือเรื่องยากแท้ แต่ในที่สุดเราก็มาถึงจนได้ ฮือออ น้ำตาจิไหล มีน้องหมามาเก๊ามายืนรอรับด้วยแหละ ฮายยย หมา ไม่รู้น้องจะฟังภาษาไทยออกรึเปล่านะ
**อ้อ ขอแนะนำเกร็ดความรู้สักนิด รูปปั้นเจ้าแม่ทับทิมตรงนี้แกะสลักขึ้นมาจากหินนะคะ มีความสูงตั้งแต่ฐานไปจนถึงปลายยอด 21 เมตร แถมตรงนี้ยังเป็นจุดชมวิวที่สวยมากๆ ด้วย แต่เสียดายวันที่เราไปหมอกลงหนักจนมองแทบไม่เห็นอะไร เลยอดชมวิวไปตามระเบียบ


หลังจากขอพรกับรูปปั้นเจ้าแม่ทับทิมเรียบร้อย แถมยังเดินรอบองค์รูปปั้นอีก 8 รอบ(จริงๆ ไกด์บอกว่าต้องเดิน 3 รอบ แต่ในกลุ่มดันนับผิด เถียงกันไปเถียงกันมาว่า 3 รอบบ้าง 4 รอบบ้าง สุดท้ายเลยตกลงกันว่า ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เดินให้ครบ 8 รอบไปเลยดีกว่า เลขมงคลของคนจีนเค้าล่ะ) หลังจากนั้นก็ถึงเวลาของการเข้ามาไหว้พระภายในวัดแล้ว ก็จัดการบูชาธูปที่ทางวัดจัดไว้ให้ในชุดละ 10 MOP


ส่วนวิธีการไหว้ก็คือ ให้เริ่มไหว้จากจุดที่อยู่ข้างล่างตรงกลางก่อนนะคะ จากนั้นก็ปักธูปลงไป 3 ดอก แล้วก็เดินขึ้นไปข้างบนศาลาวัด (เรียกแบบนี้เลย) จะมีกระถางธูปอยู่ทั้งหมด 3 จุด ก็วนอธิษฐานขอพรจากจุดแรกที่อยู่ซ้ายมือเลย เสร็จแล้วก็ปักธูปลงไปจุดละ 3 ดอกค่ะ ส่วนที่เหลือให้เดินมาจุดที่ศาลาด้านซ้ายมือหากหันหน้าออกมาประตูวัด ซึ่งจะเป็นองค์เทพ 12 ราศีปีนักษัตร โดยจุดนี้ควรจะบอกด้วยว่าเราชื่ออะไร และเกิดปีนักษัตรอะไร จากนั้นก็ปักธูปที่เหลือลงไปทั้งหมดเลย


ไกด์บอกว่าถ้าเราสามารถโยนเหรียญลงไปบนชามเหนือรูปปั้นเต่าได้แล้วจะเฮงๆ รวยๆ นี่ลองไปสองรอบ โยนเข้าไปแล้วแต่เหรียญดันกระเด้งออก หมายความว่าไงอ่ะ หึหึ






สำหรับจุดที่ 2 ของวันนี้ก็ได้แก่ วัดที่ได้ชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดในเกาะมาเก๊า “วัดอาม่า” นั่นเองค่ะ วันนี้นอกจากกลุ่มพวกเราแล้ว ก็แทบจะไม่มีนักท่องเที่ยวคนไหนเลย มาที่นี่หลังจากไหว้พระแล้วก็อย่าลืมเอาแบงก์ไทยที่มีเลขซึ่งลงท้ายด้วยเลข 8 หรือ 9 ไปลูบกับเรือที่อยู่บนหินสีดำนะคะ หลังจากนั้นก็พับเป็นสามเหลี่ยมเก็บไว้ในกระเป๋า จะได้เฮงๆ รวยๆ ไปด้วยกันค่ะ


จุดที่ 3 สำหรับการขอพร ที่นี่ไม่ใช่วัดค่ะ แต่เป็นเจ้าแม่กวนอิมปรางค์ทองริมทะเลนั่นเอง ใครที่อยากให้หน้าที่การงานรุ่งสุดๆ ฉุดไม่อยู่ล่ะก็ ต้องมาที่นี่ค่ะ


เมื่อมาถึงที่ จุดแรกที่คุณต้องทำก็คือการขอพรตรงจุดเลข 8 หรือที่เป็นสัญลักษณ์อินฟินิตี้นั่นแหละ ว่ากันว่าจุดนี่เป็นจุดที่สามารถรับพลังจากเจ้าแม่ได้ดีที่สุด โดยการขอพรก็ควรจะบอกชื่อนามสกุลตัวเองด้วย เจ้าแม่จะได้รู้ว่าควรประทานพรให้ใครบ้าง เพราะแต่ละวันคนมาไหว้ก็มาจากต่างถิ่นเยอะแยะเต็มไปหมด จากนั้นก็ให้เดินวนองค์เจ้าแม่ 3 รอบจากซ้ายไปขวานะคะ เสร็จแล้วก็อย่าลืมค้นหาสัญลักษณ์เลข 8 ให้เจอนะคะ จะได้เฮงๆ ยิ่งขึ้น มีอยู่ทั้งหมด 3 จุดค่ะ แต่เราจะไม่เฉลยว่ามีที่ไหนบ้าง


จุดที่ 4 วัดเจ้าแม่กวนอิม เป็นวัดเก่าแก่เป็นอันดับสองของเกาะมาเก๊า และใหญ่ที่สุดในเกาะด้วย ดูจากสภาพภายนอกที่มีนั่งร้านแล้ว คาดเดาว่าที่นี่น่าจะกำลังซ่อมแซมอยู่ค่ะ

พอผ่านธรณีประตูวัดเข้ามา สิ่งที่คุณจะต้องไหว้สักการะเป็นอย่างแรกก็คือ รูปภาพขององค์พระสังกัจจายน์ค่ะ จุดนี้ไกด์เล่าเสริมว่า ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นความพิเศษของภาพคือ ไม่ว่าคุณจะเดินไปอยู่จุดไหน สายตาของท่านก็จะมองตามคุณไปเสมอ เราทดลองแล้วก็เออ..จริงแฮะ


จากนั้นก็สักการะรูปปั้นของเหล่าท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 องค์ ที่ทำหน้าที่คอยปกปักรักษาวัดแห่งนี้ทั้ง 4 ทิศ ทั้งเหนือ ใต้ ออก ตก เสร็จแล้วเดี๋ยวเราจะเข้าไปสักการะพระโพธิสัตว์กวนอิมที่อยู่ห้องโถงใหญ่ข้างในกันค่ะ อ้อ มาที่นี่ไกด์แนะนำว่าควรก้าวเท้าซ้ายผ่านธรณีนำไปก่อนนะคะ (จริงๆ ก็ทุกวัดแหละ) จากนั้นก็เดินวนเข้าทางซ้ายตลอด เวลาออกค่อยมาทางขวาค่ะ

ถึงแล้วค่ะ องค์พระโพธิสัตว์กวนอิมในชุดเจ้าสาว ส่วนด้านข้างก็จะรายล้อมไปด้วยรูปหล่อของเหล่า 18 อรหันต์ ที่นี่จะเป็นวัดที่เหมาะสำหรับคนที่กำลังประกอบธุรกิจค่ะ ถ้าอยากให้กิจการรุ่งๆ เฮงๆ รวยๆ ต้องมาไหว้องค์กวนอิมที่นี่เลย

รูปปั้นองค์พระสังกัจจายน์ วิธีขอพรก็คือให้ลูบตั้งแต่ใบหน้าของท่านลงมา จากนั้นก็มาที่แขนแล้วก็ตรงช่วงท้องนะคะ เราจะได้มีทรัพย์สินอุดมสมบูรณ์ (เวลาลูบอย่าให้สะดุดน้าาา ถ้าสะดุดต้องเริ่มใหม่)

องค์ไฉ่ซิงเอี้ย เทพเจ้าแห่งโชคลาภที่อยู่ในโถงใกล้ๆ ใครต้องการหยิบยืมเงินไปลงทุน ต้องมากระซิบขอยืมท่านค่ะ ถ้าอยากระบุจำนวนก็ควรขอสิ่งที่เป็นไปได้นะคะ

พอไหว้ข้างในแล้วก็ค่อยถอยออกมาไหว้ข้างนอก ที่สำคัญอย่าลืมนะคะว่าต้องออกทางขวาเท่านั้น อย่าเผลอเดินออกไปทางซ้ายเหมือนตอนเข้ามาล่ะ



ไหว้พระขอพรเสร็จไปแล้ว 4 จุดในวันนี้ ขอพักแวะเข้าห้องน้ำที่ MGM Grand สักแป๊บนึง แถมยังมีเวลาแชะภาพ Sky Roof Plaza กลับมาด้วย ซึ่งที่นี่เขาจะมีการเปลี่ยนธีมตกแต่งไปเรื่อยๆ ค่ะ


โปรแกรมการไหว้พระขอพรของวันนี้ยังไม่จบนะคะ แต่ขอแวะดูซากโบสถ์เซ็นปอลซักนิดหน่อย เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึงมาเก๊า


เซนาโด สแควร์วันนี้ยังคงคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวเช่นเดิมค่ะ ส่วนใหญ่ก็เป็นคนไทยเรานี่แหละ (ฟังจากภาษา) จุดหมายปลายของเราที่นี่ไม่ใช่การช้อปปิ้งค่ะ แต่เรามาไหว้เทพกวนอูที่วัดซำไกวุยคุนต่างหากล่ะ




จากหน้าซากโบสถ์เซ็นปอลก็เดินฝ่าผู้คนไปเลยค่ะ จนไปถึงทางแยกใหญ่ๆ ก็ให้เลี้ยวซ้าย ก็จะเจอเข้ากับลานน้ำพุ ซึ่งตรงนี้เขามีการแสดงไฟด้วย และถ้าเราหันหน้าเข้าหาน้ำพุที่เซนาโด สแควร์ก็เลี้ยวเข้าซอยเล็กๆ ที่อยู่ซ้ายมือเลยค่ะ เพราะวัดซำไกวุยคุนจะอยู่ข้างในนี้เอง

ลักษณะของวัดแห่งนี้ก็เป็นวัดเล็กๆ ค่ะ ตั้งอยู่ด้านซ้ายมือบริเวณกลางๆ ซอยพอดี แต่เราไปถึงก็มืดแล้ว เลยไม่มีโอกาสได้เดินเข้าไปในวัด ทำได้แค่เพียงไหว้เทพกวนอูอยู่ตรงประตูวัดนี้เอง แต่ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เข้าไป แต่ใจของเราก็มาถึงแล้ว แค่นี้ก็รู้สึกอิ่มบุญแล้วล่ะค่ะ
สำหรับวันนี้การไหว้พระขอพรของเราก็จบแล้วที่ 5 จุด แต่ค่ำคืนและแสงสีของมาเก๊ายังอีกยาวไกล ที่สำคัญท้องทุกคนเริ่มหิวแล้ว กองทัพต้องเดินด้วยทอง จะรอช้าอยู่ใยไปหาอะไรทานกันดีกว่า
หลังจากใช้เวลาเดินจนขาแทบลากจากบูทส้นสูงที่อุตส่าห์หอบหิ้วจากเมืองไทย กะว่าฉันจะต้องเฉิดฉายในมาเก๊า กลับกลายมาเป็นภาระซะงั้น ตอนนี้ชักอยากถอดรองเท้าเขวี้ยงทิ้งให้รู้แล้วรู้แรดไปเลย แต่ก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรแบบชั่ววูบ ในที่สุดเราก็ไปถึงร้านอาหารจนได้ วันนี้เจ้านายคงเห็นว่าพาพวกเราตะลุยเดินเยอะไปหน่อย เลยพามาทานอาหารอร่อยที่ Lou Kei (Fai Chi Kei) ที่ได้รับการการันตีความอร่อยระดับ 1 ดาวจากมิชลิน

ถึงนาทีนี้ไม่ต้องรอช้า หน้าร้านไม่จำเป็นต้องถ่าย เพราะหิวจนตาลายไปหมดแล้ว เรารีบพรวดไปนั่งโต๊ะเลยดีกว่า ซึ่งอาหารมื้อนี้ก็จะประกอบด้วยเซี่ยงจี้ผัดกับถั่วงอก เนื้อสัมผัสกรุบๆ ดี ไม่เหม็นคาวค่ะ หากใครไม่ทานเครื่องใน บอกเลยว่าน่าเสียดาย

จานที่ 2 ผัดเปรี้ยวหวานไก่ รสชาติหวานนำค่ะ เราทานคำเดียวเองค่ะ ไม่ชอบอาหารรสหวาน

ต่อมาผัดหมี่กับปลาหมึกค่ะ รสชาติอ่อนๆ ปลาหมึกสดดี เคี้ยวหนึบๆ

จานนี้หมูสับนึ่งกับปลาเค็ม ไกด์บอกเป็นจานแนะนำจากทางร้าน ต้องทานกับข้าวสวยร้อนๆ แต่กว่าข้าวจะมากับก็เกลี้ยงไปแล้ว เลยต้องสั่งเพิ่มมีอีก 1 จาน

บะหมี่เกี๊ยวกุ้ง รสชาติดีค่ะ ชามใหญ่มาก เกี๋ยวก็เยอะ แต่เราทานแค่เกี๊ยวนะคะ พี่ร่วมโต๊ะบอกเส้นหมี่ก็ใช้ได้เหมือนกัน

จานนี้ขาดไม่ได้จริงๆ ค่ะ ต้องมีมาทุกมื้อสิน่า ผัดผักกวางตุ้งใส่น้ำมันหอย รสชาติก็คือผัดผักกวางตุ้งนั่นแหละค่ะ แต่ไม่เหม็นเขียวนะ

ปลาลิ้นมังกรนึ่งซีอิ๊ว หน้าตาก็คล้ายๆ ปลาลิ้นหมา แต่ตัวใหญ่กว่า จานนี้เราคิดว่าแอบคาวนิดๆ นอกจากที่เห็นแล้วก็ยังมีผัดผักบุ้งใส่กะปิอีกจานค่ะที่ขึ้นชื่อลือชาของร้านเลย แต่มีคนจ้วงไปก่อนที่เราจะถ่าย ก็เลยไม่ได้เก็บภาพมาฝาก แต่สรุปอาหารร้านนี้อร่อยถูกปากค่ะ ให้คะแนน 7/10




หลังจากอิ่มท้องแล้ว ก็ได้เวลาของการเดิน (อีกแล้ว) สำรวจแสงสีของมาเก๊าในยามค่ำคืน ส่วนใหญ่ก็เป็นกาสิโนทั้งนั้นค่ะ อย่างเช่น Lisboa นี่เป็นกาสิโนแห่งแรกของมาเก๊าเลยล่ะ


กระทั่งมาถึงหน้าโรงแรมแห่งนี้ค่ะ อีก 15 นาทีจะมีโชว์น้ำพุที่นี่ พอมองไปทางตึกตรงข้ามก็เจอเข้ากับรถที่พาอาอึ้ม อาม่ามาดูน้ำพุเหมือนกัน








เผลอแป๊บเดียวการแสดงน้ำพุก็จบแล้ว ถามว่าประทับใจไหม ก็เฉยๆ นะ แต่ก็ดีที่ยังพอมีกิจกรรมให้ทำบ้าง จากนั้นเราก็จะไปดูโชว์อื่นกันต่อค่ะ ก็เดินไปอีกไม่ไกล แต่เราไม่รู้มันคือตึกไหนนะ เพราะเราเดินหลงทางออกจากกลุ่มเพื่อพอดี แต่พอเดินเข้าไปในตึกก็เจอที่หมายแล้ว





บอกตามตรงว่าชอบโชว์ของที่นี่มากกว่าน้ำพุมาก แค่มองขึ้นไปบนเพดานแล้วเจอภาพแกะสลักเป็น 12 นักษัตรสีทองแบบนี้ก็รู้สึกประทับใจแล้วอ่ะ รอไม่นานโชว์ก็เริ่มค่ะ





เป็นโชว์ที่สวยงาม และมีรายละเอียดเยอะมากค่ะ ต้องไปดูด้วยตาตัวเอง เพราะเราเองก็ถ่ายรูปบ้างไม่ถ่ายบ้าง เพราะนี่ก็อยากสัมผัสด้วยสายตาของตัวเอง โดยที่ไม่ต้องผ่านเลนส์กล้องเหมือนกัน
จากนั้นเราก็เดินทางกลับโรงแรมโดยรถบัสที่พี่เจสฯ นัดมารับ พอถึงโรงแรมก็แทบจะคลานขึ้นเตียงเลยค่ะ ปวดเท้ามากกก คืนนี้เลยมีปาร์ตี้แช่เท้ากับน้องๆ ในอ่างก่อนเข้านอน
5 มีนาคม 2561 วันอิสระ ณ มาเก๊า
วันนี้ก็ไม่มีอะไรมากค่ะ เนื่องจากเมื่อคืนมีปาร์ตี้ดึก (ซึ่งเราหลับไปก่อนแล้ว) ดังนั้นเจ้านายเลยให้อิสระสำหรับการพักผ่อนหนึ่งวัน แต่กว่าที่เราจะตื่นก็ปาเข้าไปเกือบ 10 โมงแล้ว หลังจากนั้นเลยเดินขอเดินข้ามไปช้อปปิ้งฝั่งเวเนเชี่ยนสักแป๊บ


ระหว่างทางเชื่อมก็ขอแชะภาพหอไอเฟลจำลองในภาคกลางวันอีกสักหน่อย วันนี้อากาศในมาเก๊าก็ยังขมุกขมัวเหมือนเดิม แต่ไปช้อปได้ไม่ถึงชั่วโมง เจ้านายก็ไลน์เรียกรวมพลในเวลาอาหารกลางวันแล้ว เราก็ต้องรีบวิ่งปรู๊ดดด ข้ามกลับมายังฝั่งโรงแรม (งานเอาหน้า งานสอพลอต้องมาค่ะ นายเรียกเมื่อไหร่อย่าได้รอช้า รีบมาโลด 5555)

มื้อเที่ยงวันนี้เราทานข้าวที่นี่ค่ะ ไม่ได้ถ่ายภาพหน้าร้านมา เลยขอแชะภาพหน้าเมนูมาแทน ร้านนี้ตั้งอยู่ชั้นล่างของ Cotai Central ค่ะ

นั่งรอไม่นานอาหาร (ที่นายสั่ง) ก็มาเสิร์ฟเป็นอย่างแรก ฮะเก๋ากุ้งประดับด้วยทองคำเปลว (เซลล์ประจำออฟฟิศของเราแนะนำว่า การทานฮะเก๋ากุ้งแบบนี้ให้ถูกวิธี คือให้เอาทองคำเปลวมาทาที่หน้าผากเสียก่อน จากนั้นจึงค่อยทานฮะเก๋ากุ้งค่ะ 555) เมนูนี้ กุ้งข้างในเด้งดึ๋งมากก เราชอบ

จานต่อมา คิดเหมือนกันว่าควรถ่ายมาดีไหม เพราะมันมาอีกแล้ว แต่สุดท้ายก็ถ่ายๆ แบบเสียมิได้ รูปก็เลยออกมาแบบเสียมิได้เช่นเดียวกัน หุหุ

ข้าวผัดกุ้ง และหมูแดง (มั้ง) ชอบตรงเนื้อสัมผัสของกุ้งค่ะ มันเด้งๆ ในปาก ส่วนรสชาติของข้าวผัดค่อนข้างอ่อน ทานง่าย สบายท้อง

หมูกรอบค่ะ มาในชิ้นหนามากกก เวลาทานให้จิ้มมัสตาร์ดนิดหน่อย อร่อยดี แต่ถ้าให้ทานแบบนี้ทุกวันคงไม่ไหว

ขนมจีบหมูผสมกุ้ง รสชาติดีค่ะ

เมนูนี้ไม่รู้ที่มาเก๊าเค้าเรียกว่าอะไร แต่ทั้งหน้าตา สีสัน และรสชาติ มันคล้ายๆ กับหมูฮ้อง หรือหมูสามชั้นต้มซีอิ๊ว อาหารทางภูเก็ตเด๊ะๆ เลยค่ะ ส่วนรสชาติ เนื้อนุ่มดี รสกลมกล่อม แต่ทานแค่ชิ้นเดียวก็เลี่ยนแล้ว

จานเกือบสุดท้าย เป็นเมนูยำแมงกะพรุนใส่แตงกวาค่ะ เราชอบนะจานนี้ ออกรสเปรี้ยวนำนิดๆ ส่วนแมงกะพรุนก็เด้งและกรอบมาก นอกจากอาหารที่เสิร์ฟมานี้ก็ยังมีโจ๊กด้วยค่ะ แต่เราไม่ชอบทานโจ๊กเลยไม่ได้ถ่ายภาพมา ส่วนรสชาติอาหาร อร่อยค่ะ ชอบ ให้ไปเลย 8/10 คะแนน
จากนั้นก็ถึงเวลาแยกย้ายค่ะ ก่อนจะนัดกันอีกทีตอนช่วง 17.00 น. เพื่อไปว่ายน้ำกันที่ชั้น 4 ของโรงแรม เราก็เลยขอเก็บภาพบรรยากาศรอบๆ โรงแรมมาฝากละกัน เพราะพรุ่งนี้จะข้ามไปฝั่งฮ่องกงแล้วจ้า








สำหรับพาร์ทแรกก็ขอพักไว้ที่ตรงนี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวจะมาต่อในส่วนของอีก 3 วันที่เหลือในฮ่องกงค่ะ มีเหตุการณ์ตื่นเต้นตั้งแต่ข้ามฝั่งเลยล่ะ แล้วก็สุดท้าย ขอฝากเพจของเราด้วยนะคะ ขอบคุณสำหรับทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อมูลจาก Content Marketing Story @Am2b Marketing
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น